ภาวะตกเลือดก่อนคลอด
Antepartum Hemorrhage
รศ.พญ.เฟื่องลดา ทองประเสริฐ
ภาควิชาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา
คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ภาวะตกเลือดก่อนคลอด หมายถึง การมีเลือดออกทางช่องคลอดในไตรมาสสอง (อายุครรภ์ 14 – 27 สัปดาห์ และไตรมาสสาม (อายุครรภ์ 28 สัปดาห์เป็นต้นไป) อย่างไรก็ตามภาวะเลือดออกทางช่องคลอดที่เกิดก่อนอายุครรภ์ 20 สัปดาห์นั้นมีสาเหตุคล้ายคลึงกับภาวะเลือดออกทางช่องคลอดในไตรมาสแรก และทารกยังอยู่ในระยะแท้งหรือเลี้ยงไม่รอด (non-viability) จึงจะไม่กล่าวถึงในบทนี้
ดังนั้นภาวะตกเลือดก่อนคลอดในบทนี้ หมายถึง ภาวะเลือดออกทางช่องคลอดตั้งแต่อายุครรภ์ 20 สัปดาห์เป็นต้นไป โดยมีสาเหตุดังแสดงในตารางที่ 2-1 สำหรับภาวะ bloody show และ marginal separation of placenta เลือดที่ออกมักส่งผลกระทบน้อยต่อมารดาและทารก การดูแลรักษาคือการเฝ้าระวังและสังเกตอาการ โดยภาวะ bloody show เป็นภาวะที่มีเลือดปนมูกออกทางช่องคลอดก่อนเริ่มมีอาการเจ็บครรภ์คลอด เป็นผลจากปากมดลูกเปิดและบางตัวลง ทำให้หลอดเลือดขนาดเล็กบริเวณปากมดลูกฉีกขาด ส่วนภาวะ marginal separation of placenta เกิดจากชายรกลอกตัวก่อนกำหนด ซึ่งส่วนใหญ่ลอกตัวเพียงเล็กน้อย ทำให้ปริมาณเลือดที่ออกไม่มาก ไม่มีอาการอื่น ๆ ของ placental abruption เลือดที่ออกมักหยุดได้เองหลังการพักและสังเกตอาการ ในบทนี้จึงจะกล่าวถึงเฉพาะสาเหตุที่เป็นภาวะฉุกเฉิน เสี่ยงต่อการเสียชีวิตและภาวะทุพพลภาพของมารดาและทารก ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์ได้แก่ รกเกาะต่ำ รกลอกตัวก่อนกำหนด มดลูกแตก และการแตกของ vasa previa
ตารางที่ 2-1 สาเหตุภาวะตกเลือดก่อนคลอด
สาเหตุที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์ (obstetric causes) | สาเหตุที่ไม่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์ (non-obstetric causes) |
|
|
การประเมินและรักษาขั้นต้น
- ประเมินสภาวะและกู้ชีพมารดา (ก่อนทารกเสมอ)
- ตรวจสัญญาณชีพ และปริมาณปัสสาวะ อาจต้องใส่สายสวนปัสสาวะถ้าเสียเลือดมาก
- เปิดหลอดเลือด 1-2 เส้น ด้วยเข็มเบอร์ใหญ่ (ขนาดเข็มเบอร์ 18 เป็นอย่างน้อย)
- ให้น้ำเกลือชนิด crystalloid (Ringers lactate หรือ normal saline)
- ให้ออกซิเจน
- เก็บเลือดเพื่อตรวจทางห้องปฏิบัติการเบื้องต้น เช่น
- CBC and platelets count
- Blood type and screen หรือ cross-match for PRC 2-4 units (พิจารณาตามปริมาณการเสียเลือด)
- PT and PTT, fibrinogen level (ในกรณีเสียเลือดมาก หรือสงสัยภาวะ placental abruption)
- การประเมินสาเหตุและวินิจฉัยแยกโรคเบื้องต้น
- ซักประวัติ และ บันทึกปริมาณเลือดที่ออก
- ทบทวนประวัติการฝากครรภ์
- ตรวจร่างกาย ตรวจหน้าท้อง (leopold maneuver) เพื่อประเมินขนาดของทารก ท่า ส่วนนำ และการ engagement และประเมินการหดรัดตัวของมดลูก
- ห้ามตรวจภายในและห้ามตรวจทางทวารหนัก (No PV, No PR) หากยังไม่ทราบการวินิจฉัย
- ตรวจคลื่นเสียงความถี่สูงเพื่อดูตำแหน่งของรก (ช่วยวินิจฉัยรกเกาะต่ำ และรกลอกตัวก่อนกำหนดในบางราย)
- ตรวจดูช่องคลอดและปากมดลูกด้วย sterile speculum เพื่อหาตำแหน่งที่เลือดออกและรอยโรคเฉพาะที่ (ในกรณีที่ไม่มีรกเกาะต่ำ)
- ประเมินสภาวะทารกในครรภ์
- ตรวจคลื่นเสียงความถี่สูงอย่างรวดเร็วเพื่อดูอัตราการเต้นของหัวใจทารก ประเมินท่า อายุครรภ์ และน้ำหนักทารก
- ทำ continuous electronic fetal heart rate monitoring (EFM) หรือทำ non stress test (NST) ในกรณีสภาวะมารดาคงที่
รกลอกตัวก่อนกำหนด (placental abruption)
รกลอกตัวก่อนกำหนด หมายถึง ภาวะที่มีการลอกตัวของรกที่เกาะในตำแหน่งปกติก่อนทารกคลอด วินิจฉัยจากลักษณะทางคลินิก ได้แก่ เลือดออกทางช่องคลอด ปวดท้อง มดลูกหดรัดตัวบ่อยหรือแข็งเกร็ง (hypertonic uterine contractions) อาจกดเจ็บที่มดลูก (uterine tenderness) รูปแบบการเต้นของหัวใจทารกผิดปกติ (non-reassuring fetal heart rate patterns) ในรายที่เป็นรุนแรง ทารกอาจเสียชีวิตในครรภ์ มารดามีภาวะช็อก และการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ (consumptive coagulopathy) การตรวจคลื่นเสียงความถี่สูงอาจช่วยในการวินิจฉัยในบางรายหากพบเลือดออกหลังรกดังแสดงในรูปที่ 2-1 อย่างไรก็ตามการไม่พบความผิดปกติจากการตรวจอัลตราซาวด์ก็ไม่สามารถวินิจฉัยแยกภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนดออกไปได้1 สาเหตุหรือปัจจัยส่งเสริมที่พบได้บ่อย ได้แก่ ภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ ประวัติรกลอกตัวก่อนกำหนดในครรภ์ก่อน อุบัติเหตุกระทบกระเทือนบริเวณหน้าท้อง การลดขนาดอย่างฉับพลันของมดลูกขนาดใหญ่ เช่น ครรภ์แฝดน้ำ การทำหัตถการ เช่น การหมุนกลับตัวเด็กทางหน้าท้อง เป็นต้น
รูปที่ 2-1 ภาพคลื่นเสียงความถี่สูงผ่านทางหน้าท้องมารดา เห็นลักษณะก้อนเลือด (blood clot; B) อยู่บริเวณด้านหลังของรก (placenta; P)
การดูแลรักษาภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด
- ประเมินสภาวะและกู้ชีพมารดาก่อนทารกเสมอ เน้นแก้ไขภาวะช็อก และระวังภาวะการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ
- ตรวจสัญญาณชีพ และปริมาณปัสสาวะ อาจต้องใส่สายสวนปัสสาวะถ้ามีอาการซีดหรือช็อก
- เจาะเลือดเพื่อตรวจ
- CBC and platelets count
- Blood type and screen หรือ cross-match for PRC, fresh frozen plasma (FFP), cryoprecipitate และ platelets
- PT and PTT (หรือทำ clotting time)
- Fibrinogen level
- ให้น้ำเกลือชนิด crystalloid (ringers lactate หรือ normal saline)
- ให้ออกซิเจน
- ให้เลือด PRC ถ้ามีภาวะซีด ให้ fresh frozen plasma หรือ cryoprecipitate ถ้ามีภาวะการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ
- ประเมินสภาวะทารกในครรภ์
- ทารกยังมีชีวิต และไม่มีภาวะ non-reassuring fetal heart rate patterns
- Vaginal delivery เจาะถุงน้ำคร่ำเมื่อไม่มีข้อห้าม ให้ oxytocin หากมดลูกหดรัดตัวไม่ดี
- Emergency cesarean delivery ในกรณี
-
- ปากมดลูกยังปิด หรือคาดว่าใช้เวลานานหากรอให้คลอดทางช่องคลอด
- ภาวะรกลอกตัวรุนแรงมาก หรือความรุนแรงของโรคเพิ่มขึ้นระหว่างรอคลอดทางช่องคลอด
-
- Expectant management (ไม่ยุติการตั้งครรภ์) โดยการรักษาแบบประคับประคองเพื่อยืดอายุครรภ์ ถือเป็นกรณีพิเศษที่ไม่กระทำโดยทั่วไป อาจพิจารณาในรายที่อายุครรภ์ยังน้อย (<34 สัปดาห์) รกลอกตัวไม่รุนแรง เลือดหยุดแล้ว ไม่มีภาวะแทรกซ้อน และสภาวะของมารดาและทารกอยู่ในเกณฑ์ดี อาจให้ยายับยั้งการหดรัดตัวของมดลูกเพื่อรอให้สเตียรอยด์ออกฤทธิ์ และต้องตรวจติดตามสภาวะของมารดาและทารกอย่างใกล้ชิด
- ติดตามเสียงหัวใจทารกอย่างใกล้ชิดด้วย continuous electronic fetal heart rate monitoring (การเฝ้าระวังภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนดจากการได้รับอุบัติเหตุ ควรตรวจ continuous electronic fetal heart rate monitoring อย่างน้อย 2-6 ชั่วโมง ถ้าปกติดี ไม่มีเลือดออก ไม่มีการหดรัดตัวของมดลูก สภาวะของมารดาและทารกปกติ สามารถอนุญาตให้กลับบ้านได้2)
- ทารกยังมีชีวิต แต่มีภาวะ non-reassuring fetal heart rate patterns
- Emergency cesarean delivery
- ทารกเสียชีวิตแล้ว
- Vaginal delivery
- ป้องกันและแก้ไขภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่
- ภาวะซีด
- การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ
- ภาวะตกเลือดหลังคลอด
- ภาวะไตล้มเหลวเฉียบพลัน
รกเกาะต่ำ (placenta previa)
รกเกาะต่ำ หมายถึง ภาวะที่รกเกาะต่ำลงมาถึงบริเวณส่วนล่างของมดลูก (lower uterine segment) มีลักษณะทางคลินิก ได้แก่ เลือดออกทางช่องคลอดโดยไม่เจ็บครรภ์ (painless bleeding) มักไม่มีการหดรัดตัวของมดลูกหรือมดลูกแข็งเกร็ง กดไม่เจ็บ เสียงหัวใจทารกส่วนใหญ่จะปกติ ส่วนนำทารกไม่ลงอุ้งเชิงกราน (unengagement) ทารกอาจอยู่ในท่าผิดปกติ เช่น ท่าก้น ท่าขวาง หรือ oblique lie อย่างไรก็ตามบางรายอาจมีอาการเลือดออกทางช่องคลอดร่วมกับมดลูกหดรัดตัว ทำให้แยกจากภาวะ placental abruption ได้ยาก สาเหตุหรือปัจจัยส่งเสริมที่พบได้บ่อย ได้แก่ ประวัติเคยรกเกาะต่ำ ประวัติเคยผ่าตัดคลอด ประวัติเคยทำหัตถการในโพรงมดลูก และการตั้งครรภ์แฝด เป็นต้น
การวินิจฉัยยืนยันด้วยการตรวจคลื่นเสียงความถี่สูง (ทางหน้าท้อง หรือ ทางช่องคลอด) ดังแสดงในรูปที่ 2-2 สามารถวินิจฉัยรกเกาะต่ำได้อย่างถูกต้องเกือบทั้งหมด ซึ่งสามารถตรวจพบได้ตั้งแต่ไตรมาสสองของการตั้งครรภ์ 3 โดยอาจตรวจและบันทึกตำแหน่งรกในการตรวจคลื่นเสียงความถี่สูงเพื่อคัดกรองความสมบูรณ์ของทารกในครรภ์ที่อายุครรภ์ 18 – 22 สัปดาห์ และควรบันทึกตำแหน่งรกและระยะห่างระหว่างชายรกด้านล่างกับปากมดลูกไว้ด้วย 4 หากพบว่ามีภาวะรกเกาะต่ำให้ตรวจคลื่นเสียงความถี่สูงซ้ำเพื่อยืนยันการวินิจฉัยที่อายุครรภ์ 32 – 36 สัปดาห์ นอกจากนี้ควรตรวจหาภาวะรกติดแน่น (placenta adherence) ที่พบร่วมด้วยได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายที่มีประวัติเคยผ่าตัดคลอดหรือเคยทำหัตถการในโพรงมดลูก
ถึงแม้ว่าการตรวจภายในจะเป็นวิธีที่วินิจฉัยโรคได้แม่นยำที่สุด แต่อาจทำให้เกิดการตกเลือดอย่างรุนแรงได้ และต้องทำการตรวจในห้องผ่าตัดโดยเตรียมพร้อมที่จะทำการผ่าตัดได้ทันที (double setup) ซึ่งในปัจจุบันมีความจำเป็นน้อยมากที่ต้องทำการตรวจวินิจฉัยด้วยวิธีนี้ เนื่องจากการตรวจคลื่นเสียงความถี่สูงมีความแม่นยำสูงและมีแพร่หลายในทุกโรงพยาบาล
ภาวะรกเกาะต่ำแบ่งได้ 4 ชนิด ดังแสดงด้านล่าง
- Low-lying placenta คือ รกเกาะต่ำที่ชายรกเกาะห่าง internal os น้อยกว่าหรือเท่ากับ 2 เซนติเมตร5
- Marginal placenta previa คือ รกเกาะต่ำที่ชายรกเกาะที่ขอบของ internal os พอดี
- Partial placenta previa คือ รกเกาะต่ำที่ชายรกคลุมปิด internal os เพียงบางส่วน
- Total placenta previa คือ รกเกาะต่ำที่ชายรกคลุมปิด internal os ทั้งหมด
รูปที่ 2-2 ภาพคลื่นเสียงความถี่สูงผ่านทางหน้าท้องมารดา (sagittal view) เห็นลักษณะรก (placenta; P) เกาะบริเวณปากมดลูก (cervix; cx)
การดูแลรักษาภาวะรกเกาะต่ำ
- ประเมินสภาวะและกู้ชีพมารดาก่อนทารกเสมอ
- ตรวจสัญญาณชีพ และปริมาณปัสสาวะ อาจต้องใส่สายสวนปัสสาวะถ้าเสียเลือดมาก
- เจาะเลือดเพื่อตรวจ
- CBC and platelets count
- Blood type and screen หรือ cross-match for PRC 2–4 units โดยพิจารณาตามปริมาณการเสียเลือด
- ให้น้ำเกลือชนิด crystalloid (Ringers lactate หรือ normal saline)
- ให้ออกซิเจน
- ห้ามตรวจภายในและห้ามตรวจทางทวารหนัก (No PV, No PR)
- ให้เลือด PRC ถ้ามีภาวะซีด
- ประเมินอายุครรภ์ ปริมาณเลือดที่ออก สภาวะทารก และชนิดของรกเกาะต่ำ (ตามลำดับ)
- อายุครรภ์เลี้ยงรอด
- เลือดออกมาก : emergency cesarean delivery
- เลือดออกไม่มาก / เลือดหยุดแล้ว แต่มี fetal non-reassuring FHR patterns : emergency cesarean delivery
- เลือดออกไม่มาก / เลือดหยุดแล้ว และไม่มี fetal non-reassuring FHR patterns : close observation
- รกเกาะต่ำชนิด total, partial หรือ marginal : elective cesarean delivery
- รกเกาะต่ำชนิด low-lying : spontaneous vaginal delivery หรือ elective cesarean delivery
- อายุครรภ์น้อย
- เลือดออกมาก : vaginal delivery
- ทารกเสียชีวิต : vaginal delivery
- เลือดออกไม่มาก / เลือดหยุดแล้ว และ สภาวะทารกปกติ : close observation
- อายุครรภ์เลี้ยงรอด
- ป้องกันและแก้ไขภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่
- ภาวะซีด
- ภาวะรกติดแน่น (placenta adherence)
- ภาวะตกเลือดหลังคลอด
- การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ
- ภาวะไตล้มเหลวเฉียบพลัน
ข้อแนะนำเพิ่มเติม:
ปัจจัยเรื่องอายุครรภ์เลี้ยงรอด
ในรายที่อายุครรภ์ 24 – 34 สัปดาห์ อาจพิจารณาให้ยากระตุ้นปอดทารก (corticosteroids) และให้ยายับยั้งการหดรัดตัวของมดลูกในรายที่มีการเจ็บครรภ์คลอดร่วมด้วย (หลีกเลี่ยงการใช้ยากลุ่ม beta-sympathomimetic drugs แนะนำให้ magnesium sulfate หรือยากลุ่ม calcium channel blockers แต่ต้องระวังภาวะความดันเลือดต่ำ ส่วนยา indomethacin ไม่แนะนำให้ใช้หลังอายุครรภ์ 30 สัปดาห์ และในครรภ์ที่มีภาวะน้ำคร่ำน้อย) อย่างไรก็ตามควรพิจารณาให้คลอดทันทีโดยไม่รอผลของยากระตุ้นปอดทารกหรือยายับยั้งการหดรัดตัวของมดลูกในกรณีต่อไปนี้
-
- มารดาเสียเลือดมาก หรือสัญญาณชีพไม่คงที่
- ทารกมีภาวะ non-reassuring FHR patterns
- เข้าสู่ระยะคลอด (active labor)
- อายุครรภ์มากกว่า 34 สัปดาห์ หรือ อายุครรภ์ใกล้ครบกำหนด (พิจารณาเป็นราย ๆ ไป)
ในรายที่อายุครรภ์ 34 สัปดาห์เต็ม ถึง 36 สัปดาห์ 6 วัน อาจพิจารณาให้ยากระตุ้นปอดทารก (corticosteroids) กรณีที่ไม่เคยได้รับยามาก่อนหน้านี้ และคาดว่ามีความเสี่ยงที่จะต้องคลอดก่อนกำหนด6
ปัจจัยเรื่องการผ่าตัดคลอด
การผ่าตัดคลอดควรทำในสถานที่ที่มีความพร้อม โดยสูติแพทย์ที่มีประสบการณ์ เตรียมเลือดให้พอ และวางแผนการผ่าตัดก่อนลงมีดเสมอ โดยพิจารณาจากตำแหน่งของรกที่เกาะ ส่วนใหญ่สามารถลงแผลที่ส่วนล่างของมดลูกตามแนวขวาง (low transverse uterine incision) ในบางรายอาจพิจารณาลงแผลที่ส่วนบนของมดลูกตามแนวยาว (classical uterine incision) เพื่อหลีกเลี่ยงการผ่าทะลุรก ในกรณีรกเกาะด้านหน้าควรวางแผนล่วงหน้าว่าจะผ่าทะลุรก หรืออ้อมชายรก (ใช้นิ้วเซาะรกจากผนังมดลูกไปยังชายรกที่ใกล้ที่สุดเพื่อเจาะถุงน้ำคร่ำ)7 หลังเด็กและรกคลอดแล้ว ระวังภาวะตกเลือดหลังคลอด (ในบางรายรกอาจติดแน่นจึงต้องเตรียมพร้อมผ่าตัดมดลูกเสมอ) ในกรณีรกคลอดแล้วแต่มีเลือดออกมากตรงตำแหน่งรกเกาะ (focal bleeding) อาจพิจารณาหยุดเลือดด้วยวิธี hemostatic square sutures, intrauterine balloon tamponade หรือ uterine compression sutures เช่น B-Lynch suture เป็นต้น8
การติดตามอาการอย่างใกล้ชิด
เมื่อรับรักษาในโรงพยาบาล ควรดูแลอย่างใกล้ชิดในห้องคลอด เจาะเลือดตรวจ CBC, platelets count, cross-match (งดน้ำและอาหาร ให้น้ำเกลือ เตรียมพร้อมผ่าตัดคลอดฉุกเฉินไว้เสมอ) เฝ้าสังเกตอาการเลือดออกทางช่องคลอด อัตราการเต้นของหัวใจทารก สัญญาณชีพ ห้ามตรวจทางช่องคลอด หรือทางทวารหนัก และห้ามสวนอุจจาระ ในกรณีเลือดหยุดแล้ว และสภาวะทารกปกติ สามารถให้กลับบ้านได้ แต่ต้องเน้นย้ำให้ผู้ป่วยมาโรงพยาบาลทันทีที่มีเลือดออกซ้ำ นัดตรวจคลื่นเสียงความถี่สูงซ้ำในไตรมาสสามว่าภาวะรกเกาะต่ำยังคงมีอยู่หรือไม่และเป็นชนิดใดเพื่อวางแผนการคลอด
การติดตามอาการอย่างใกล้ชิด
การคลอดทางช่องคลอด
การคลอดทางช่องคลอดในกรณี low lying placenta ควรพิจารณาเป็นราย ๆ ไป9 และควรให้คลอดในสถานที่ที่มีความพร้อม สามารถผ่าตัดฉุกเฉินได้ตลอดเวลา เตรียมเลือดให้พอ หลีกเลี่ยงการตรวจภายในบ่อย และควรทำด้วยความนุ่มนวล (ในกรณีทารกอายุครรภ์น้อยหรือเสียชีวิตแล้ว การให้คลอดทางช่องคลอดถือเป็นกรณีพิเศษที่ต้องการหลีกเลี่ยงการผ่าตัดคลอด ต้องระมัดระวังเป็นอย่างมากและควรให้เลือดชดเชยอย่างพอเพียง)
มดลูกแตก (uterine rupture)
ภาวะมดลูกแตก มีปัจจัยเสี่ยงสำคัญคือ การเคยมีแผลที่ตัวมดลูกมาก่อน เช่น การผ่าตัดคลอด การผ่าตัดก้อนเนื้องอกมดลูก การขูดมดลูก เป็นต้น10 ภาวะมดลูกผิดปกติแต่กำเนิด การใช้ยากระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูก เช่น oxytocin หรือ misoprostol การคลอดติดขัดจากการผิดสัดส่วนระหว่างศีรษะทารกกับช่องเชิงกรานหรือทารกอยู่ในท่าผิดปกติ การใช้หัตถการช่วยคลอด หรือมีประวัติได้รับอุบัติเหตุรุนแรง
มีลักษณะทางคลินิก คือ เลือดออกทางช่องคลอดหรือในช่องท้อง ปวดท้อง มีภาวะซีดหรือช็อก ทารกมีภาวะ fetal bradycardia หรือ non-reassuring FHR patterns อย่างฉับพลัน11 มดลูกหยุดการหดรัดตัว (cessation of uterine contractions) ตรวจภายในอาจคลำไม่ได้ส่วนนำของทารก (loss of station) หรือตรวจหน้าท้องอาจคลำได้ส่วนนำของทารกลอยสูงขึ้น และคลำได้ส่วนต่าง ๆ ของทารกชัดขึ้นหากทารกหลุดเข้าไปอยู่ในช่องท้อง
การดูแลรักษาภาวะมดลูกแตก
- ประเมินสภาวะและกู้ชีพมารดาก่อนทารกเสมอ
- ตรวจสัญญาณชีพ และปริมาณปัสสาวะ (ใส่สายสวนปัสสาวะ)
- เจาะเลือดเพื่อตรวจ
- CBC and platelets count
- Blood type and screen หรือ cross-match for PRC, FFP และ platelets
- PT and PTT (หรือทำ clotting time)
- ให้น้ำเกลือชนิด crystalloid (ringer lactate solution หรือ normal saline)
- ให้ออกซิเจน
- ให้เลือด PRC ถ้ามีภาวะซีด ให้ FFP หรือ platelets ถ้ามีภาวะการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ
- ผ่าตัดฉุกเฉิน (exploratory laparotomy) ทุกรายทันที ไม่ว่าทารกจะมีชีวิตอยู่หรือไม่
- หลังจากทำคลอดทารกแล้ว การรักษาที่ถือเป็น definitive surgical management คือการตัดมดลูก (hysterectomy) ส่วนการเย็บซ่อมแซมรอยแตกของมดลูกโดยไม่ตัดมดลูกนั้น (uterine repair) อาจทำได้โดยพิจารณาเป็นราย ๆ ไป ขึ้นอยู่กับ ปริมาณการเสียเลือดและสัญญาณชีพ พยาธิสภาพของรอยแตก ความต้องการมีบุตรในอนาคต และความชำนาญของแพทย์ผู้ผ่าตัด12 (ในรายที่เย็บซ่อมแซมถือว่ามีความเสี่ยงสูงต่อมดลูกแตกซ้ำในการตั้งครรภ์ครั้งต่อไปได้)
การแตกของ vasa previa
Vasa previa หมายถึง หลอดเลือดที่ทอดอยู่บนเยื่อหุ้มทารกผ่านปากมดลูกหรืออยู่ห่างจากปากมดลูก (internal cervical os) น้อยกว่า 2 เซนติเมตร13 มักพบในกรณีรกมีความผิดปกติ เช่น สายสะดือของทารกเกาะที่เยื่อหุ้มทารก (velamentous insertion) การมีรกน้อย (placenta succenturiata) หรือ bilobed placenta ซึ่งจะมีหลอดเลือดทอดบนเยื่อหุ้มทารกเชื่อมระหว่างรกทั้งสองอัน ภาวะรกเกาะต่ำ หรือ low lying placenta ที่ตรวจพบในไตรมาสสองของการตั้งครรภ์ และการตั้งครรภ์แฝด14
มีลักษณะทางคลินิกคือ ตรวจภายในเห็นหรือคลำพบหลอดเลือดที่เต้นเข้าจังหวะ (synchronous) กับเสียงหัวใจทารก มีเลือดออกทางช่องคลอดตามหลังหรือพร้อม ๆ กับการแตกของถุงน้ำคร่ำ ดังนั้นทุกครั้งที่ทำการเจาะถุงน้ำคร่ำ (artificial rupture of membranes) ต้องแน่ใจเสมอว่าไม่มีภาวะ vasa previa ทารกมักมีภาวะ fetal non-reassuring FHR patterns เช่น sinusoidal pattern หรือ fetal bradycardia และอาจเสียชีวิตอย่างฉับพลันหลังเลือดออก การวินิจฉัยจากการตรวจคลื่นเสียงความถี่สูงจะพบหลอดเลือดทอดอยู่ต่ำกว่าส่วนนำ ดังแสดงในรูปที่ 2-3 การตรวจรกหลังคลอดจะพบรอยฉีกขาดของหลอดเลือดที่ทอดอยู่บนเยื่อหุ้มทารก
รูปที่ 2-3 ภาพคลื่นเสียงความถี่สูง color Doppler ผ่านทางช่องคลอด เห็นลักษณะรกหลอดเลือด (vasa previa; V) อยู่ระหว่างศีรษะทารก (head; H) กับปากมดลูก (cervix; CX)
การดูแลรักษาภาวะ vasa previa
- ประเมินสภาวะมารดาและทารก (สภาวะมารดามักไม่มีปัญหาเนื่องจากเลือดที่ออกเป็นเลือดทารก)
- ตรวจสัญญาณชีพ
- ให้น้ำเกลือชนิด crystalloid (ringer lactated solution หรือ normal saline)
- ให้ออกซิเจน
- ถ้าวินิจฉัยได้หลังถุงน้ำคร่ำแตกแล้ว ต้องให้คลอดทันที
- ทารกอายุครรภ์เลี้ยงรอด
- ปากมดลูกเปิดหมดแล้ว : ให้คลอดโดยเร็วที่สุด โดยอาจใช้หัตถการช่วยคลอดด้วย vacuum หรือ forceps extraction
- ปากมดลูกยังเปิดไม่หมด : ให้ผ่าตัดคลอดฉุกเฉิน (emergency cesarean delivery)
- ทารกอายุครรภ์น้อย หรือเสียชีวิตแล้ว
- ให้คลอดเอง (spontaneous vaginal delivery)
- ถ้าวินิจฉัยได้ก่อนถุงน้ำคร่ำแตก ให้วางแผนผ่าตัดคลอด (elective cesarean delivery)ที่อายุครรภ์ 34 – 37 สัปดาห์ 14
เอกสารอ้างอิง
1. Glantz C, Purnell L. Clinical utility of sonography in the diagnosis and treatment of placental abruption. J Ultrasound Med. 2002;21:837-40.
2. ACOG educational bulletin. Obstetric aspects of trauma management. Number 251, September 1998 (replaces Number 151, January 1991, and Number 161, November 1991). American College of Obstetricians and Gynecologists. Int J Gynaecol Obstet. 1999;64:87-94.
3. Dashe JS, McIntire DD, Ramus RM, Santos-Ramos R, Twickler DM. Persistence of placenta previa according to gestational age at ultrasound detection. Obstet Gynecol. 2002;99:692-7.
4. Thurmond A, Mendelson E, Böhm-Vélez M, Bree R, Finberg H, Fishman EK, et al. Role of imaging in second and third trimester bleeding. American College of Radiology. ACR Appropriateness Criteria. Radiology. 2000;215 Suppl:895-7.
5. Oppenheimer LW, Farine D, Ritchie JW, Lewinsky RM, Telford J, Fairbanks LA. What is a low-lying placenta? Am J Obstet Gynecol. 1991;165:1036-8.
6. Gyamfi-Bannerman C. Society for Maternal-Fetal Medicine (SMFM) Consult Series #44: Management of bleeding in the late preterm period. Am J Obstet Gynecol. 2018;218:B2- b8.
7. Ward CR. Avoiding an incision through the anterior previa at cesarean delivery. Obstet Gynecol. 2003;102:552-4.
8. Arduini M, Epicoco G, Clerici G, Bottaccioli E, Arena S, Affronti G. B-Lynch suture, intrauterine balloon, and endouterine hemostatic suture for the management of postpartum hemorrhage due to placenta previa accreta. Int J Gynaecol Obstet. 2010;108:191-3.
9. Vergani P, Ornaghi S, Pozzi I, Beretta P, Russo FM, Follesa I, et al. Placenta previa: distance to internal os and mode of delivery. Am J Obstet Gynecol 2009;201:266.e1-5.
10. Practice Bulletin No. 184: Vaginal Birth After Cesarean Delivery. Obstet Gynecol. 2017;130:e217-e33.
11. Ayres AW, Johnson TR, Hayashi R. Characteristics of fetal heart rate tracings prior to uterine rupture. Int J Gynaecol Obstet. 2001;74:235-40.
12. Carlin A, Alfirevic Z. Intrapartum fetal emergencies. Semin Fetal Neonatal Med. 2006;11:150-7.
13. Rebarber A, Dolin C, Fox NS, Klauser CK, Saltzman DH, Roman AS. Natural history of vasa previa across gestation using a screening protocol. J Ultrasound Med. 2014;33:141- 7.
14. Sinkey RG, Odibo AO, Dashe JS. Diagnosis and management of vasa previa. Am J Obstet Gynecol. 2015;213:615-9.