ภาวะติดไหล่
Shoulder Dystocia
รศ.พญ.เกษมศรี ศรีสุพรรณดิฐ
ภาควิชาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา
คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
การคลอดไหล่ยากหรือภาวะติดไหล่ (shoulder dystocia) หมายถึง การคลอดไหล่หน้าของทารกที่ไม่สามารถทำได้ด้วยวิธีการดึงศีรษะทารกอย่างนุ่มนวล โดยใช้แรงดึงไม่มากนักเหมือนเช่นการคลอดในกรณีปกติ โดยสิ่งที่สนับสนุนอาจเป็นอาการแสดงที่เรียกว่า turtle sign ซึ่งคือการเกิด retraction หรือการผลุบเข้าไปของส่วนศีรษะทารกภายหลังจากที่คลอดพ้น perineum ของมารดาออกมาแล้ว และกลไกของภาวะติดไหล่นี้เกิดขึ้นจากไหล่หน้าของทารกติดแน่นอยู่หลังต่อกระดูกหัวหน่าวของมารดาร่วมกับไหล่หลังของทารกติดอยู่บริเวณ promontary of sacrum ของมารดา โดยอุบัติการณ์คลอดติดไหล่พบได้ประมาณร้อยละ 0.2-3 ของการคลอดทั้งหมด 1
สาเหตุ
โดยทั่วไปแล้วแม้ว่าจะไม่อาจทำนายการเกิดการคลอดไหล่ยากได้อย่างแม่นยำ แต่ภาวะนี้พบได้บ่อยขึ้นเมื่อมีปัจจัยเสี่ยงดังต่อไปนี้ 2
- ทารกที่คาดว่ามีน้ำหนักแรกคลอดมาก เช่น ประเมินแล้วคาดว่าน้ำหนักแรกคลอดตั้งแต่ 4000 กรัมขึ้นไป จากหลักฐานการศึกษาในปัจจุบันพบว่าในกรณีที่มารดาไม่มีปัญหาเบาหวานและประเมินน้ำหนักทารกมากกว่า 5,000 กรัม ความเสี่ยงของการเกิดภาวะติดไหล่มากกว่าร้อยละ 20 ส่วนในกรณีที่ในมารดาที่มีปัญหาเบาหวานและประเมินน้ำหนักทารกมากกว่า 4,500 กรัม ความเสี่ยงของการเกิดภาวะติดไหล่ประมาณร้อยละ 15 อย่างไรก็ตามผู้ดูแลต้องระมัดระวังว่าในทางปฏิบัติประมาณครึ่งหนึ่งของทารกที่เกิดภาวะติดไหล่ มีน้ำหนักแรกคลอดน้อยกว่า 4,000 กรัม
- สตรีตั้งครรภ์เป็นเบาหวาน
- มีประวัติคลอดไหล่ยากมาก่อนให้ครรภ์ที่แล้ว ซึ่งจากหลักฐานการศึกษาพบว่าโอกาสเกิดภาวะติดไหล่ซ้ำอย่างน้อยร้อยละ 10 3
- ตั้งครรภ์เกินกำหนด
- สตรีตั้งครรภ์ที่อ้วนและมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นมากในระหว่างตั้งครรภ์
- ความก้าวหน้าของการคลอดผิดปกติ
- การใช้สูติศาสตร์หัตถการช่วยคลอด เช่น คีมช่วยคลอด หรือเครื่องดูดสุญญากาศ
เนื่องจากองค์กรหลักทางสูติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา (American College of Obstetrics and Gynecology : ACOG) 3 ไม่สนับสนุนการชักนำการคลอดที่ไม่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ในกรณีอายุครรภ์ก่อน 39 สัปดาห์ รวมทั้งในกรณีที่สงสัยทารกมีน้ำหนักมากเกินปกตินั้น ยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัดว่าแนวทางใดดีกว่าระหว่างการชักนำการคลอดหรือรอให้การเจ็บครรภ์คลอดโดยธรรมชาติเกิดขึ้นเอง และไม่มีหลักฐานการศึกษาที่แน่ชัดว่าการชักนำการคลอดจะสามารถป้องกันภาวะติดไหล่ได้ ดังนั้นข้อแนะนำของ ACOG ในปัจจุบันยังไม่สนับสนุนให้ทำการชักนำการคลอดด้วยข้อบ่งชี้เรื่องสงสัยทารกมีน้ำหนักมากเกินปกติเพียงอย่างเดียว ไม่ว่าจะเป็นอายุครรภ์เท่าใดก็ตาม แต่การวางแผนผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องอาจเป็นข้อพิจารณาได้ ในกรณีที่สงสัยภาวะ macrosomia โดยถือเกณฑ์ที่น้ำหนักทารกมากกว่า 5,000 กรัม และ 4,500 กรัม ในมารดาที่ไม่เป็นเบาหวานและเป็นเบาหวานตามลำดับ อย่างไรก็ตามอาจมีข้อสังเกตคือ ธรรมชาติของน้ำหนักทารกของไทยน่าจะน้อยกว่าทารกในซีกโลกตะวันตก แต่จากหลักฐานการศึกษาหรือข้อแนะนำของประเทศไทยในปัจจุบัน ยังไม่ได้มีข้อสรุปไว้ชัดเจนว่าควรปรับเกณฑ์ของน้ำหนักทารกที่นำมาใช้พิจารณาทำการผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องเพื่อป้องกันการคลอดไหล่ยากหรือไม่
สำหรับมารดาที่เคยมีประวัติการคลอดไหล่ยากในครรภ์ก่อนนั้น พบว่าอุบัติการณ์ของการเกิดการคลอดไหล่ยากซ้ำอีกในครรภ์ต่อมาประมาณร้อยละ 10 3 และการผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องทุกรายสำหรับสตรีตั้งครรภ์ที่เคยมีภาวะติดไหล่ในครรภ์ก่อน ยังไม่ถือเป็นข้อแนะนำ ดังนั้นจากในทางปฏิบัติควรมีปรึกษาร่วมกันกับสตรีตั้งครรภ์และคู่สมรสเกี่ยวกับข้อดีและข้อเสียของวิธีการคลอดว่าต้องการเลือกวิธีการผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องหรือไม่ และพิจารณาตามความเหมาะสมของสตรีตั้งครรภ์แต่ละราย
ภาวะแทรกซ้อน 1, 3, 4
- ภาวะแทรกซ้อนต่อมารดา เช่น การตกเลือดหลังคลอด การฉีกขาดของช่องทางคลอด และอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่ตามมาเช่น fistula หรือแผลติดเชื้อ
- ภาวะแทรกซ้อนต่อทารก เช่น brachial plexus injuries (กว่าร้อยละ 90 ของทารกที่มีปัญหานี้มักหายได้เองโดยไม่มีความพิการใด ๆ เกิดขึ้น) กระดูกไหปลาร้าหักสมองขาดออกซิเจนระหว่างการคลอดทารกเสียชีวิต เป็นต้น
แนวทางปฏิบัติเมื่อเกิดภาวะคลอดไหล่ยาก 3, 5
- ผู้ทำคลอดมีความจำเป็นต้องมีสติ และไม่ตระหนกเกินความจำเป็น
- ร้องขอความช่วยเหลือจากแพทย์ พยาบาล ที่อยู่บริเวณนั้น และถ้าประเมินว่าการช่วยคลอดกระทำได้ยากพิจารณาแจ้งวิสัญญีและกุมารแพทย์ล่วงหน้า
- ในกรณีที่ยังไม่ได้ตัดแผลฝีเย็บ ควรทำการฉีดยาชาแล้วตัดฝีเย็บ หรือถ้าแผลฝีเย็บที่ตัดไว้ยังไม่กว้างพอ พิจารณาตัดฝีเย็บเพิ่ม
- ดูดเมือกหรือสารคัดหลั่งในปากและจมูกทารกให้โล่ง
- ถ้ายังมีปัสสาวะค้างอยู่ ให้สวนปัสสาวะทิ้ง
- เริ่มต้นช่วยคลอดด้วยวิธี McRoberts maneuver ร่วมกับ suprapubic pressure ดังรูปที่ 8-1 โดย Mc Roberts maneuver เริ่มจากการปลดขาของผู้คลอดออกจากที่ตรึง ยกขึ้นแล้วงอเข่าพับเข้ากับทางหน้าท้อง ซึ่งเป็นการทำให้เกิด hyperflexion และ abduction ของข้อสะโพกมารดา ทำให้ส่วนของ symphysis pubis หมุนมาทางด้านศีรษะ ร่วมกับเกิด flattening ของ lumbar lordosis ทำให้ไหล่หน้าเกิดมีความคล่องตัวมากขึ้นและหลุดออกมาจาก pubic symphysis ได้ ซึ่งโดยทั่วไปการทำ McRoberts maneuver มักปฏิบัติร่วมกับการกดบริเวณหัวหน่าว (suprapubic pressure) เพื่อเป็นการช่วยกดให้ไหล่ด้านหน้าหลุดออกจาก pubic symphysis อีกแรงหนึ่ง โดยจังหวะในการกดควรเป็นจังหวะเดียวกันกับการที่ผู้ทำคลอดค่อย ๆ ดึงทารกออกมา และเป็นช่วงที่ขาของมารดาทั้งสองข้างถูกยกขึ้นจนเข่าชิดกับส่วนหน้าอก ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ถ้ามีการเตรียมพร้อมตั้งแต่ยังไม่เกิดภาวะติดไหล่เกิดขึ้น ควรมีการปลดขาของมารดาออกจากที่ตรึงตั้งแต่แรก มีผู้ช่วยประจำที่ขาของมารดาแต่ละข้าง ร่วมกับผู้ช่วยอีกหนึ่งคนอยู่ที่บริเวณหัวหน่าวเพื่อเตรียมพร้อมในการกดบริเวณหัวหน่าว เป็นต้น
จากหลักฐานการศึกษาพบว่าถ้าทำการช่วยคลอดด้วยวิธี McRoberts maneuver ร่วมกับการกดบริเวณหัวหน่าวอย่างมีประสิทธิภาพจะสามารถทำการคลอดไหล่ทารกได้สำเร็จเกือบร้อยละ 90 6
รูปที่ 8-1 การช่วยคลอดด้วยวิธี McRoberts maneuver โดยการงอเข่าทั้งสองข้างของสตรีตั้งครรภ์ให้ชิดหน้าอก ร่วมกับทำ suprapubic pressure และดึงศีรษะทารกออกมาในจังหวะประสานกัน (ที่มา: ดัดแปลงจาก Vaginal Delivery. In: F. Gary Cunningham, Kenneth J Leveno, Steven L Bloom, Catherine Y Spong, Jodi S Dashe, Barbara L Hoffman, et al, editors. Williams Obstetrics. 24th ed. New York: McGraw Hill; 2014. p. 536-57.)
- Posterior arm release คือทำการคลอดไหล่หลังก่อนโดยใช้มือผู้ทำคลอดทำการปาดแขนหลังของทารกผ่านทางหน้าอกออกมา แล้วคลอดแขนข้างนั้น จากนั้นหมุนหัวไหล่ให้อยู่ในแนวเฉียง แล้วตามด้วยการคลอดไหล่หน้า ดังแสดงในรูปที่ 8-2
รูปที่ 8-2 การช่วยคลอดไหล่ยากด้วยวิธี posterior arm release โดยผู้ช่วยคลอดสอดนิ้วเข้าไปในช่องคลอดตามแนวด้านหลังของแขนหลัง แล้วผลักกวาดไปทางด้านทรวงอก พยายามให้งอแขนและข้อศอกทารก จากนั้นจับแขนและดึงให้เหยียดมาทางด้านหน้า และคลอดไหล่หลังออกมา (ที่มา: ดัดแปลงจาก Vaginal Delivery. In: F. Gary Cunningham, Kenneth J Leveno, Steven L Bloom, Catherine Y Spong, Jodi S Dashe, Barbara L Hoffman, et al, editors. Williams Obstetrics. 24th ed. New York: McGraw Hill; 2014. p. 536-57.)
- Woods Maneuver หรือ Corkscrew Maneuver: เทคนิคนี้เป็นการหมุนลำตัวทารกให้คล้ายสกรู โดยผลักจากทางไหล่หลัง เพื่อให้ไหล่หน้าหลุดออกจากการติดแน่น โดยการสอดมือเข้าไปทางด้านหลังของไหล่หลังของทารก แล้วออกแรงผลักหมุนแบบเกลียวไปทางด้านหน้าทารก 180 องศา ให้ไหล่หลังกลายมาเป็นไหล่หน้า ทำให้ไหล่หน้าเดิมคลายจากการอัดแน่นออกมาได้ แสดงในดังรูปที่ 8-3
รูปที่ 8-3 Woods maneuver ใช้มือของผู้ช่วยคลอดวางทาบไปที่ด้านหลังของไหล่หลังแล้วหมุนไป 180 องศา หมุนไปในลักษณะเกลียวสกรู เพื่อให้ไหล่หน้าที่ติดแน่นหลุดออกมา (ที่มา: ดัดแปลงจาก Vaginal Delivery. In: F. Gary Cunningham, Kenneth J Leveno, Steven L Bloom, Catherine Y Spong, Jodi S Dashe, Barbara L Hoffman, et al, editors. Williams Obstetrics. 24th ed. New York: McGraw Hill; 2014. p. 536-57.)
- Rubin’s Maneuver หลักการคือการโยกหรือผลักไหล่ทารกโดยไม่ต้องหมุนลำตัวของทารก แต่เป็นเพียงการผลักหรือโยกเพื่อให้ไหล่หน้าหลุดจากการติดแน่น โดยสามารถทำได้สองวิธีคือ วิธีแรก เป็นการขยับโยกไหล่ทารกแบบไปกลับซ้ายขวา (rocked) ด้วยการออกแรงผ่านทางหน้าท้องมารดา แต่ถ้าไม่สำเร็จให้ใช้วิธีที่สองคือ ผลักไหล่หน้าของทารกจากด้านหลังให้ห่อตัวงุ้มเข้าหาหน้าอก ทำให้เส้นผ่าศูนย์กลางช่วงไหล่ทั้งสองลดลง และทำให้ไหล่หน้าหลุดจากที่อัดแน่นอยู่ใต้กระดูกหัวหน่าวออกมาได้ ดังแสดงในรูปที่ 8- 4
รูปที่ 8-4 Rubin’s maneuver แสดงวิธีการผลักไหล่หน้าที่อยู่ใต้กระดูกหัวหน่าวไปทางด้านหน้าของทรวงอกทารกทำให้ระยะห่างของสองหัวไหล่ลดลง และทำให้ไหล่หน้าหลุดออกมาจากที่อัดแน่นอยู่ได้ (ที่มา: ดัดแปลงจาก Vaginal Delivery. In: F. Gary Cunningham, Kenneth J Leveno, Steven L Bloom, Catherine Y Spong, Jodi S Dashe, Barbara L Hoffman, et al, editors. Williams Obstetrics. 24th ed. New York: McGraw Hill; 2014. p. 536-57.)
ในระดับแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไปควรรู้วิธีช่วยคลอดไหล่เบื้องต้น 4 วิธีที่กล่าวไปแล้ว ส่วนวิธีอื่น ๆ เป็นสิ่งที่ใช้ไม่บ่อยในทางปฏิบัติ ทำได้ยากและมีภาวะแทรกซ้อนได้บ่อย เช่น การหักกระดูกไหปลาร้าของทารกโดยการใช้นิ้วมือกดด้านหน้าของกระดูกไหปลาร้าต้านกับ pubic rami ของเชิงกรานมารดาหรือ Zavanelli maneuver (cephalic replacement) ซึ่งเป็นการดันศีรษะทารกกลับเข้าไปแล้วนำไปผ่าตัดทำคลอดทางหน้าท้อง เป็นต้น
สิ่งที่ไม่ควรปฏิบัติเมื่อเกิดภาวะคลอดไหล่ยาก 4, 5
ผู้ทำคลอดจำเป็นต้องตั้งสติ โดยไม่ควรเกิดภาวะตื่นตกใจเกินพอดี หรือทำการช่วยเหลืออย่างไม่ถูกต้อง และรีบร้อนเกินไป โดยเฉพาะหัตถการที่ต้องทำการหมุนตัวทารก เพราะการหมุนทารกด้วยความเร่งรีบ อาจทำให้ทารกติดแน่นมากขึ้น และการคลอดยากยิ่งขึ้นได้
- มารดาไม่ควรออกแรงเบ่งในขณะที่แพทย์หรือพยาบาลผู้ดูแลกำลังเตรียมการช่วยเหลือการคลอดหรือใช้หัตถการที่เกี่ยวข้องกับการหมุนลำตัวทารก
- ผู้ทำคลอดไม่ควรออกแรงดึงศีรษะทารกมากเกินไป โดยเฉพาะการดึงในทิศทางลงที่มีองศามากเกินปกติ เพราะทำให้เกิดการบาดเจ็บต่อเส้นประสาททารกได้มากขึ้น
- ไม่ควรทำการกดหรือดันยอดมดลูกของมารดา เพราะทำให้ไหล่หน้าของทารกติดแน่นมากขึ้น รวมทั้งอาจเกิดอันตรายรุนแรง เช่น มดลูกแตก ได้
ข้อสรุปสำหรับการคลอดไหล่ยากจากองค์กรหลักทางสูตินรีเวชของสหรัฐอเมริกา (ACOG) 7
Level B recommendation (based on limited or inconsistent scientific evidence)
- แม้ว่ามีปัจจัยเสี่ยงหลายประการที่ทำให้เกิดภาวะคลอดไหล่ยาก แต่ยังไม่มีวิธีใดที่สามารถทำนายได้อย่างแม่นยำว่าจะเกิดภาวะคลอดไหล่ยากหรือไม่ ดังนั้นแพทย์หรือผู้ดูแลควรมีความระมัดระวังและเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวในกรณีสตรีตั้งครรภ์ที่มีความเสี่ยง
- พิจารณาวางแผนผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องเพื่อป้องกันภาวะคลอดไหล่ยากในกรณีที่สงสัยว่าทารกตัวใหญ่กว่าปกติและมีน้ำหนักมากกว่า 5,000 กรัม ในมารดาที่ไม่เป็นเบาหวาน และ น้ำหนักมากกว่า 4,500 กรัม สำหรับมารดาที่เป็นเบาหวาน
- ในกรณีที่เกิดภาวะติดไหล่ วิธีช่วยเหลือที่ควรทำเป็นอันดับแรกคือ McRoberts maneuver เนื่องจากเป็นวิธีที่ทำได้ง่าย และมีประสิทธิภาพ
- เมื่อเกิดภาวะติดไหล่ขึ้น ควรมีการบันทึกเอกสารทางการแพทย์อย่างครบถ้วน
- ควรมีการฝึกซ้อมทีมรวมทั้งจัดทำแนวปฏิบัติเพื่อความพร้อมของบุคลากรในการรับมือกับภาวะคลอดติดไหล่
Level C recommendation (based on consensus and expert opinion)
- ในกรณีที่ช่วยคลอดด้วยวิธี McRoberts และ suprapubic pressure ไม่สำเร็จ ควรพิจารณาช่วยคลอดด้วยวิธีการคลอดไหล่หลัง (posterior arm delivery) เป็นลำดับต่อไป
เอกสารอ้างอิง
1. Grobman W. Shoulder dystocia. Obstet Gynecol Clin North Am. 2013;40(1):59-67.
2. Rodis JF. Shoulder dystocia: Risk factors and planning delivery of high-risk pregnancies. In: Post TW, editor. UpToDate. Waltham, MA: UpToDate; 2018.
3. Committee on Practice B-O. Practice Bulletin No 178: Shoulder Dystocia. Obstet Gynecol. 2017;129(5):e123-e33.
4. Rodis JF. Shoulder dystocia: Intrapartum diagnosis, management, and outcome. In: Post TW, editor. UpToDate. Waltham, MA: UpToDate; 2018.
5. Sentilhes L, Senat MV, Boulogne AI, Deneux-Tharaux C, Fuchs F, Legendre G, et al. Shoulder dystocia: guidelines for clinical practice from the French College of Gynecologists and Obstetricians (CNGOF). Eur J Obstet Gynecol Reprod Biol. 2016;203:156-61.
6. Chauhan SP, Laye MR, Lutgendorf M, McBurney JW, Keiser SD, Magann EF, et al. A multicenter assessment of 1,177 cases of shoulder dystocia: lessons learned. Am J Perinatol. 2014;31(5):401-6.
7. Practice Bulletin No. 178 Summary: Shoulder Dystocia. Obstet Gynecol. 2017;129(5):961-2.