โดย รศ.พญ.ประภัสสร ผาติกุลศิลา
คนทั่วไปมักสับสนในเรื่องของความสำคัญของแว่นสายตาในเด็ก บางคนเชื่อว่า ถ้าให้เด็กสวมแว่นสายตาตั้งแต่อายุยังน้อย ในอนาคตก็ไม่จำเป็นต้องใช้ ในขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งกลับเชื่อว่า จะทำให้เด็กติดแว่น ซึ่งทั้งสองอย่างนี้เป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง ที่จริงแล้ว การที่เด็กจำเป็นต้องสวมแว่น ก็เพราะว่ามีสายตาสั้น ยาว หรือเอียง ที่เกิดได้จากกรรมพันธุ์ ซึ่งภาวะสายตาผิดปกติดังกล่าวนี้ จะไม่หายไป แต่ก็ไม่แย่ลง เพียงเพราะว่าไม่สวมแว่น แว่นตาหรือเลนส์สัมผัสเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องใช้ไปตลอดชีวิต เพื่อการมองเห็นภาพที่ชัดเจน.
สายตาสั้น (เห็นภาพมัวในระยะไกล) มักเริ่มเกิดระหว่างอายุ 8 ถึง 15 ปี แต่ก็อาจเกิดเร็วกว่านั้นก็ได้ สายตายาว มักพบเป็นปกติในเด็กทั่วไป และไม่ทำให้เกิดปัญหา หากสายตายาวนั้นมีปริมาณไม่มาก ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น อาจทำให้การมองเห็นระยะใกล้มีปัญหา หรือเกิดภาวะตาเขเข้าในได้ โดยมักพบราวอายุ 2 ปี แทบทุกรายจะมีสายตาเอียงร่วมด้วย (คือตาเป็นรูปไข่ แทนที่จะเป็นทรงกลม) การสวมแว่นตามักจำเป็นเมื่อมีสายตาเอียงปริมาณมาก
เด็กจะมีความแตกต่างจากผู้ใหญ่ตรงที่อาจเกิดปัญหาประการหนึ่งตามมาได้ เรียกว่าตาขี้เกียจ หรือแอมไบลโอเปีย หมายความว่าแม้ว่าจะสั่งแว่นสายตาที่ถูกต้องให้ แต่เด็กก็ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนเท่าเด็กปกติ ซึ่งอาจขี้เกียจข้างเดียวหรือทั้งสองข้างก็ได้ ภาวะตาขี้เกียจจะเกิดขึ้นได้เมื่อสายตาสองข้างมีระดับที่แตกต่างกัน การให้เด็กสวมแว่นสายตา จะช่วยป้องกันมิให้ตาข้างที่มีสายตาผิดปกติมากกว่าเกิดตาขี้เกียจขึ้น การรักษาภาวะตาขี้เกียจจะทำได้ยากขึ้นเมื่อเด็กโตขึ้น และหากอายุเกิน 9 ขวบก็อาจไม่สามารถรักษาให้ดีขึ้นได้เลย เนื่องจากระบบประสาททางการมองเห็นมีการเจริญที่เต็มที่ไปเสียแล้ว
เด็กหรือผู้ใหญ่ที่มีตาข้างหนึ่งมองเห็นไม่ชัดเท่าปกติ ซึ่งเกิดจากตาขี้เกียจ หรือสาเหตุอื่นใดที่ไม่สามารถรักษาให้ดีเป็นปกติได้ ยังควรสวมแว่นตาเพื่อป้องกันตาข้างที่ดี เลนส์ที่ใช้ประกอบแว่นตาไม่ว่าเพื่อวัตถุประสงค์ใด ควรทำจากพลาสติก และถ้าเป็นเลนส์ที่ทำด้วยพลาสติกชนิดโพลีคาร์บอเนต จะยิ่งมีความปลอดภัยสูง เพราะมีความทนทานต่อแรงกระแทกได้มาก แต่มีราคาแพง