โดย รศ.พญ.ประภัสสร ผาติกุลศิลา
ตาเขหรือตาเหล่ เป็นความผิดปกติของการมองที่มีแนวของตาไม่ขนานกัน คือตาข้างหนึ่งมองตรงไปเบื้องหน้า ในขณะที่ตาอีกข้างหนึ่งหันเข้าด้านใน,ออกนอก, ขึ้นบน หรือลงล่าง ตาอาจเขตลอดเวลา หรือเป็นบางครั้งบางคราวก็ได้ และบางครั้งตาข้างที่เขกลับตรง แต่ตาข้างที่ตรงกลับเข เรียกว่าตาเขสลับข้าง ตาเขพบได้ค่อนข้างบ่อยในเด็ก (4%) หรือเกิดเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ได้ อาจพบในครอบครัวเดียวกันได้หลาย ๆ คน แต่ส่วนใหญ่ไม่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นมาก่อน
ตาสองข้างทำงานร่วมกันได้อย่างไร ?
เมื่อเรามีการมองเห็นปกติ ตาทั้งสองข้างจะมองตรงไปยังจุดเดียวกัน หลังจากนั้นสมองก็จะรวมภาพจากตาทั้งสองข้างแปลเป็นภาพสามมิติ การที่มองเห็นเป็นสามมิตินี้เองที่ทำให้เราสามารถรู้สึกถึงความลึก แต่เมื่อตาข้างหนึ่งเข ภาพซึ่งแตกต่างกันจากตาทั้งสองข้างก็ส่งไปยังสมอง แต่ในเด็กเล็ก ๆ สมองจะมีการปรับตัวโดยไม่สนใจภาพที่ส่งมาจากตาข้างที่เขนั้นเสีย และมองเห็นเพียงภาพจากตาข้างที่ตรง ทำให้เด็กสูญเสียความสามารถในการบอกความลึก หรือสูญเสียความสามารถในการมองเห็นสามมิตินั่นเอง ส่วนผู้ใหญ่ที่เพิ่งมาเกิดตาเข มักมีอาการเห็นภาพซ้อน เนื่องจากสมองเคยเรียนรู้ที่จะรับภาพจากตาทั้งสองข้าง และไม่สามารถกดภาพจากตาข้างเขได้แล้ว
สายตาขี้เกียจ หรือ amblyopia?
สายตาที่ดีเริ่มมีพัฒนาการขึ้นในวัยเด็ก เมื่อมีสภาพตาตรง การที่เด็กมีตาเขอาจทำให้เกิดสายตาแย่ลง ที่เรียกว่า amblyopia ในตาข้างที่อ่อนแอกว่า สมองจะรับรู้เฉพาะภาพที่มาจากตาข้างดี และไม่สนใจภาพที่มาจากตาข้างที่อ่อนแอกว่า (ข้างที่มี amblyopia) ภาวะนี้เกิดได้ประมาณครึ่งหนึ่งของเด็กตาเข การรักษาสายตาขี้เกียจทำได้โดยการปิดตาข้างที่ดี เพื่อทำให้ตาข้างที่ขี้เกียจนั้นกลับมาใช้งานได้ หรือมองเห็นดีขึ้นได้ หากตรวจพบสายตาขี้เกียจตั้งแต่เด็กอายุ 2-3 ปี มักจะรักษาแล้วได้ผลดี การปิดตาเพื่อรักษาสายตาขี้เกียจจะประสบผลสำเร็จมากที่สุดเมื่อเด็กอยู่ในวัยก่อนเข้าเรียน หากรักษาล่าช้า สายตาขี้เกียจนั้นมักเป็นถาวร ถือเป็นกฎว่า “ยิ่งรักษาสายตาขี้เกียจเร็วเท่าไร สายตาก็จะกลับคืนมาดีมากเท่านั้น”
อะไรเป็นสาเหตุของภาวะตาเข ?
สาเหตุที่แท้จริงยังไม่เข้าใจกันแจ่มแจ้ง เมื่อคนเรามองไปยังวัตถุอันหนึ่ง ตาทั้งสองต้องอยู่ในแนวเดียวกัน นั่นคือกล้ามเนื้อทุกมัดในตาแต่ละข้างต้องอยู่ในสมดุลและทำงานร่วมกัน และเพื่อให้ตาทั้งสองกลอกไปด้วยกัน กล้ามเนื้อในตาทั้งสองข้างจะต้องประสานกันอย่างดี สมองทำหน้าที่ควบคุมกล้ามเนื้อในการกลอกตา ดังนั้นเด็กที่มีความผิดปกติทางสมองจึงพบภาวะตาเขได้บ่อย เช่น สมองพิการ, กลุ่มอาการดาวน์, น้ำคั่งในกะโหลกศีรษะ) หรือแม้แต่มีเนื้องอกในสมอง นอกจากนี้ ต้อกระจก หรือภยันตรายต่อลูกตา ซึ่งรบกวนการมองเห็น ก็เป็นสาเหตุของภาวะตาเขได้เช่นกัน
การวินิจฉัยภาวะตาเขทำอย่างไร ?
เราสามารถวินิจฉัยภาวะตาเขได้จากการตรวจตาโดยแพทย์หรือจักษุแพทย์ เด็กทุกคนควรได้รับการตรวจสายตาจากกุมารแพทย์ แพทย์ประจำครอบครัว หรือจักษุแพทย์ก่อนอายุครบสี่ปี หากมีประวัติสมาชิกครอบครัวมีตาเขหรือสายตาขี้เกียจ ก็ควรได้รับการตรวจจากจักษุแพทย์ก่อนเด็กอายุสามปี บ่อยครั้งที่จะเห็นเด็กเล็ก ๆ ดูเหมือนมีตาเขเข้าใน เนื่องจากเด็กเล็กมักมีฐานจมูกกว้าง ดั้งจมูกแบน และมีผิวหนังด้านหัวตาเด่นชัด ทำให้ดูคล้ายกับมีตาเขเข้าใน (เรียกว่าตาเขหลอก) ลักษณะเช่นนี้มักหายไปเองได้เมื่อเด็กโตขึ้น โดยทั่วไปจักษุแพทย์จะสามารถบอกได้ว่าเด็กมีภาวะตาเขจริงหรือตาเขหลอก
การรักษาภาวะตาเขทำได้อย่างไร ?
การรักษาภาวะตาเขในกลุ่มผู้ป่วยที่เป็นเด็กมีเป้าหมายเพื่อ
1. รักษาสายตาให้มองเห็นชัดเป็นปกติ
2. ทำให้ตาตรง
3. ฟื้นฟูการใช้สายตาสองข้างร่วมกัน (เห็นภาพสามมิติ)
นอกจากนี้ในผู้ใหญ่ ยังช่วยแก้ไขอาการปวดล้าตา ขจัดภาพซ้อน และสร้างความมั่นใจกับตนเองในการเข้าสังคม เพิ่มโอกาสในการดำเนินชีวิต อาชีพการงาน ส่งผลให้เศรษฐฐานะของตนเองและครอบครัวดีขึ้น
หลังจากที่ตรวจตาเสร็จสมบูรณ์แล้ว จักษุแพทย์จะแนะนำวิธีการรักษาที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยได้ วิธีรักษาแบ่งเป็นสามวิธีที่สำคัญคือ
1. สวมแว่นสายตา
2. ปิดตาเพื่อรักษาตาขี้เกียจ
3. ผ่าตัดกล้ามเนื้อตา
ส่วนวิธีอื่น ๆ ได้แก่การสวมแว่นที่มีปริซึม หรือการฝึกกล้ามเนื้อตา เป็นต้น บางรายอาจต้องใช้มากกว่า 1 วิธีเพื่อการรักษาที่ดีที่สุด การเลือกวิธีการรักษา แพทย์จะพิจารณาให้เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย