ตาขี้เกียจ คือภาวะที่ระดับการมองเห็นผิดปกติ โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีโรคร้ายแรงใด ๆ เกิดขึ้นกับลูกตา เริ่มเกิดขึ้นกับเด็กเล็ก อายุน้อยกว่า 6-7 ขวบ ซึ่งเป็นวัยที่ระบบประสาทด้านการมองเห็นยังเจริญไม่เต็มที่
สาเหตุของตาขี้เกียจเกิดจากอะไรบ้าง?
มีหลายสาเหตุด้วยกัน อาจแบ่งได้ดังนี้
1. ภาวะตาเข ซึ่งเป็นภาวะที่แนวการมองของตาทั้งสองข้างไม่ขนานกัน และทำให้เกิดการเห็นภาพซ้อน (มองเห็นวัตถุหนึ่งอย่างเป็นสองภาพ) แต่สมองของเด็กก็จะมีการปรับตัวเพื่อขจัดภาพซ้อน โดยการสร้างจุดบอดขึ้นมาบดบังภาพที่เกิดจากตาข้างที่เข เด็กจึงใช้ตาข้างดีมองเพียงตาเดียว ส่งผลให้ตาข้างเขไม่ทำงาน และขี้เกียจในที่สุด
2. ภาวะสายตาผิดปกติ ได้แก่ สายตาสั้น สายตายาว และสายตาเอียง ซึ่งเป็นภาวะที่แสงไม่สามารถรวมภาพได้ชัดเจนที่จอประสาทตา เด็กจึงมองเห็นไม่ชัดเจน สมองก็จะจำว่า นี่แหละคือภาพที่ชัดที่สุดแล้ว และจำเช่นนี้ตลอดไป หากไม่แก้ไขตั้งแต่อายุยังน้อย ก็เกิดตาขี้เกียจซึ่งอาจเป็นตาเดียวหรือทั้งสองตาก็ได้
3. ภาวะที่มีสายตาทั้งสองข้างแตกต่างกันมาก เช่นมีสายตายาวหรือสั้นมากเพียงข้างเดียว เด็กจะเลือกใช้เฉพาะตาข้างที่ดีมอง ส่งผลให้ตาอีกข้างขี้เกียจ เด็กกลุ่มนี้ พ่อแม่มักไม่ทราบว่าลูกของตนมีความผิดปกติทางสายตา เพราะไม่มีลักษณะตาเขให้เป็นที่สังเกต และพฤติกรรมการมองก็จะเหมือนเด็กปกติ เนื่องจากเด็กใช้ตาข้างที่ดีมอง ต่อเมื่อมีการลองปิดตาข้างดี หรือมีแพทย์ พยาบาลไปตรวจที่โรงเรียน จึงจะทราบว่ามีตาขี้เกียจไปข้างหนึ่ง
4. ภาวะใด ๆ ที่มีการบดบังทางเดินของแสงเข้าไปกระตุ้นถึงจอประสาทตา เช่น กระจกตาขุ่น ต้อกระจก เลือดออกในลูกตา เป็นต้น หากภาวะต่าง ๆ เหล่านี้เกิดขึ้นตั้งแต่อายุน้อยกว่า 6-7 ปี จะทำให้ตาข้างนั้นขี้เกียจได้ และถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องอย่างทันท่วงที และต่อเนื่อง เด็กก็จะเกิดภาวะตาขี้เกียจตลอดไป บางครั้งแม้จะรักษาอย่างเต็มที่ ก็ไม่สามารถทำให้การมองเห็นกลับคืนมาสู่ระดับปกติได้ ตาขี้เกียจที่เกิดจากสาเหตุกลุ่มนี้ รักษาได้ยากที่สุด
5. การปิดตาข้างใดข้างหนึ่ง เช่น เด็กมีตาเขข้างเดียว ร่วมกับตาขี้เกียจ แพทย์จะแนะนำให้ปิดตาข้างที่ดีเพื่อกระตุ้นให้เด็กกลับมาใช้ตาอีกข้าง และนัดตรวจเป็นระยะตามความเหมาะสม อย่างไรก็ตาม ถ้าปิดตานานเกินไปโดยไม่ได้มาตรวจระดับการมองเห็นในตาข้างที่ปิดตามแพทย์นัด อาจทำให้เกิดภาวะตาขี้เกียจกับตาข้างดีก็ได้
เมื่อเด็กมีภาวะตาขี้เกียจเกิดขึ้นแล้ว สามารถรักษาให้ดีขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม ต้องอาศัยความร่วมมืออย่างเต็มที่ของพ่อแม่และเด็กเองด้วย แพทย์จะช่วยตรวจวินิจฉัย ติดตามการรักษา และให้คำแนะนำวิธีการรักษาให้พ่อแม่ผู้ปกครองมีความเข้าใจตั้งแต่เริ่มรักษา ครอบครัวที่มีความมุ่งมั่นสูง และร่วมมือปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ผลการรักษามักจะดี
อีกประการหนึ่ง การตอบสนองต่อการรักษาและผลการรักษา ก็ยังขึ้นกับอายุที่เริ่มรักษาอีกด้วย ยิ่งเริ่มรักษาภาวะตาขี้เกียจตั้งแต่อายุน้อยเท่าใด ก็มีโอกาสได้ผลลัพธ์ที่ดีมากขึ้นเท่านั้น หากมาพบแพทย์เมื่ออายุมากแล้ว ผลการรักษาก็อาจไม่ค่อยดีนัก
วิธีการรักษาตาขี้เกียจ ขึ้นกับสาเหตุ โดยภาพรวม อาจแบ่งวิธีการรักษาได้ดังนี้
1. การสวมแว่นสายตา กรณีที่มีสายตาผิดปกติ ซึ่งทำให้มองเห็นไม่ชัด เด็กจำเป็นต้องสวมแว่นสายตาตลอดเวลาที่ตื่นและทำกิจกรรมในเวลากลางวัน
2. การปิดตาข้างที่ดี ใช้สำหรับรายที่มีภาวะตาขี้เกียจข้างเดียว และยังขี้เกียจอยู่แม้จะสวมแว่นสายตาแล้ว
3. การผ่าตัดกล้ามเนื้อตา ใช้สำหรับเด็กตาขี้เกียจที่มีภาวะตาเขร่วมด้วย ทั้งนี้ ต้องได้รับการรักษาโดยปิดตาข้างที่ดีได้เป็นที่น่าพอใจ และเด็กสวมแว่นสายตาได้เป็นที่น่าพอใจแล้ว
อย่างไรก็ตาม แพทย์จะต้องตรวจ วินิจฉัย อย่างละเอียด และพิจารณาเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเด็กคนหนึ่ง ๆ จะไม่มีรูปแบบการรักษาแบบใดแบบหนึ่งที่สามารถใช้สำหรับเด็กทุกคนได้เสมอไป
ท่านจะเห็นว่า ตาขี้เกียจ สามารถรักษาได้โดยไม่ยากนัก ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าอย่างยิ่ง เพราะเด็กยังต้องใช้ชีวิตต่อไปอีกยาวนาน หากมีระดับการมองเห็นที่ปกติ มีตาตรงและใช้ตาสองข้างร่วมกันได้ จะทำให้พัฒนาการด้านอื่น ๆ ของร่างกายเป็นไปอย่างปกติ ไม่เป็นภาระของสังคม ทำให้การเรียนรู้ของเด็ก เท่าทันเด็กที่ปกติ และเสริมสร้างความมั่นใจในการเข้าสังคม เพิ่มโอกาสการได้ตำแหน่งหน้าที่การงานที่ดี ส่งผลให้เศรษฐฐานะของครอบครัวสูงขึ้นอีกด้วย ทั้งนี้ คงต้องอาศัยความใส่ใจของพ่อแม่ผู้ปกครองต่อเด็ก พามาตรวจรักษาตั้งแต่อายุน้อยที่สุดที่สังเกตเห็นความผิดปกติ ให้ความร่วมมืออย่างเคร่งครัดในการปฏิบัติตัว และติดตามการรักษาอย่างต่อเนื่อง