โดย รศ.พญ.ประภัสสร ผาติกุลศิลา
ต้อหินเป็นโรคที่คนส่วนใหญ่ มักไม่ทราบว่าตนเป็นโรคนี้เมื่อเริ่มเป็นในระยะแรก พอทราบก็เกือบถึงขั้นตาบอดแล้ว โรคต้อหินหลายรายมักมีความดันภายในลูกตาที่สูงเกินไป ทำให้ประสาทตาถูกกด กระบวนการมักค่อยเป็นค่อยไปช้าๆ แต่ยังมีต้อหินชนิดเฉียบพลัน ซึ่งจะมีอาการปวดตา ตามัวอย่างรวดเร็วและมาพบแพทย์
ปัจจุบันโรคต้อหินเกิดได้แม้ว่าความดันลูกตาจะอยู่ในเกณฑ์ปกติ ขั้วประสาทตาจะฝ่อไปเรื่อยๆ เราถือว่าความดันตาที่สูงเป็นเพียง “ปัจจัยเสี่ยง” ของการเกิดโรคต้อหิน มิใช่ส่วนหนึ่งของการวินิจฉัยโรค กล่าวง่ายๆก็คือ โรคต้อหินเป็นภาวะที่ขั้วประสาทตาถูกทำลาย โดยอาจเกี่ยวเนื่องกับความดันภายในลูกตาที่สูงขึ้นผิดปกติ หรือภาวะขาดเลือดไปเลี้ยงที่ขั้วประสาทตาโดยที่ความดันตาอยู่ในระดับปกติก็ได้ และมักทำให้เกิดความผิดปกติของลานสายตา
สาเหตุของโรคต้อหิน
สาเหตุนำเกิดจากการที่มีความดันในลูกตาเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งอาจเป็นผลจากอายุที่มากขึ้น เนื่องจากเมื่อคนเรามีอายุมากขึ้นจะมีความเสื่อมของช่องระบายน้ำออกจากลูกตา ทำให้น้ำหล่อเลี้ยงภายในลูกตาไม่สามารถระบายได้ เกิดการคั่งภายใน ความดันตาจึงสูงขึ้น และความดันตาที่สูงขึ้นนี้เอง จะไปกดทำลายขั้วประสาทตา ทำให้ขั้วประสาทตาเสื่อมหรือฝ่อไปทีละน้อย จนบอดไปในที่สุด นอกจากนั้นแล้ว ในผู้สูงอายุเลนส์แก้วตาก็มักมีขนาดใหญ่ขึ้น หรือมีต้อกระจก และทำให้เกิดต้อหินชนิดมุมปิดขึ้นได้อีก
การระบายน้ำที่ผิดปกติ อาจเกิดจากโรคภายในตา เช่นการอักเสบ หรือโรคบางชนิดที่เป็นมาแต่กำเนิด แม้กระทั่งการมีสัดส่วนดวงตาที่เล็กกว่าปกติ เช่นคนที่มีสายตายาวมาก ๆ ก็จะเกิดโรคต้อหินชนิดมุมปิดเฉียบพลันได้
นอกจากเรื่องอายุและความผิดปกติของดวงตาแล้ว ประวัติครอบครัวก็เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เนื่องจากต้อหินสามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ ปัจจุบันเราทราบกันแน่นอนแล้วว่า หากบุคคลในครอบครัวเป็นต้อหิน คนที่เป็นพี่น้อง หรือบุตรหลานของตระกูลนั้นจะมีโอกาสเกิดเป็นต้อหินได้มากกว่าคนอื่น
สุขภาพร่างกาย เช่นผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน โรคหัวใจ และโรคความดันโลหิตสูง ก็พบว่ามีโอกาสเป็นต้อหินได้มากขึ้นเช่นกัน
ต้อหินทำให้ตาบอดได้อย่างไร
ผู้ที่เป็นต้อหิน ซึ่งมีความดันตาสูงหรือมีปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ดังที่กล่าวมาแล้วนั้น จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของปริมาณเลือดที่ไปเลี้ยงขั้วประสาทตา เซลล์ประสาทจะตายลงทีละน้อย ความกว้างของการมองเห็นหรือลานสายตาจะค่อย ๆ แคบลงโดยที่ไม่รู้ตัว เนื่องจากบริเวณส่วนกลาง
ของการมองยังดีอยู่ แต่ที่เริ่มเสียไปคือบริเวณรอบนอก ซึ่งจะค่อย ๆ คืบคลานเข้ามาสู่ส่วนกลางแล้วทำให้ตาบอดได้ในที่สุด
จะทราบได้อย่างไรว่าท่านเป็นโรคต้อหิน
ปกติเรามักไม่รู้ตัวเองว่าเป็นต้อหิน จนกว่าจะได้รับการตรวจ ยกเว้นคนที่มีการสังเกตค่อนข้างดี และตรวจเช็คการมองเห็นทีละข้าง โดยการปิดตาซ้ายและขวาสลับกัน เนื่องจากโรคต้อหินเป็นโรคที่มีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างช้า ค่อยเป็นค่อยไปในคนส่วนใหญ่ (ยกเว้นเป็นต้อหินชนิดเฉียบพลันที่จะปวดตาอย่างมากและรวดเร็ว) จึงเป็นการยากที่คนที่เป็นโรคต้อหินจะรู้ด้วยตัวเอง นอกจากการตรวจโดยจักษุแพทย์เท่านั้น
การวินิจฉัยโรคต้อหินทำอย่างไร
ต้องตรวจตาอย่างละเอียด โดยการวัดระดับสายตา วัดความดันตา ตรวจมุมตา และตรวจดูขั้วประสาทตา นอกจากนี้ ปัจจุบัน ยังมีการวิเคราะห์ขั้วประสาทตาด้วยคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะทำให้การวินิจฉัยได้รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น บางรายจะเป็นต้องอาศัยการถ่ายภาพขั้วประสาทตาด้วย เหล่านี้เป็นหน้าที่ของจักษุแพทย์
โรคต้อหินจะรักษาให้หายขาดได้หรือไม่
แม้ว่าต้อหินส่วนใหญ่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ก็สาม้ารถควบคุมมิให้ลุกลามมากขึ้นได้ แต่โรคต้อหินบางชนิด เช่นที่เกิดจากมุมตาแคบ เป็นโรคต้อหินแบบเฉียบพลัน สามารถรักษาให้หายขาดได้ ถ้าได้รับการรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่ระยะเริ่มแรก
ชนิดของโรคต้อหิน ที่พบบ่อย มี 4 ชนิดได้แก่
- ต้อหินมุมปิด มี 2 แบบ คือชนิดเฉียบพลันและเรื้อรัง ถ้าเป็นเฉียบพลัน จะมีอาการปวดตา ตามัว ตาแดง มองเห็นแสงรุ้งรอบดวงไฟ อาการอาจรุนแรงมากจนคลื่นไส้ อาเจียน หากเป็นแบบเรื้อรัง บางรายอาจปวดเล็กน้อย เป็นครั้งคราว มักได้รับการรักษาแบบโรคปวดศีรษะมาเป็นเวลานานโดยไม่ทราบว่าเป็นโรคต้อหิน
- ต้อหินมุมเปิดเรื้อรัง เป็นชนิดที่พบบ่อย มี 2 แบบคือชนิดความดันลูกตาสูง และความดันลูกตาปกติ ทั้งสองแบบจะไม่มีอาการปวดตาหรือตาแดง ผู้ป่วยมักไม่รู้ตัว หากได้รับการวินิจฉัยและรักษาล่าช้า ก็ทำให้ตาบอดได้ แต่ถ้าเริ่มรักษาตั้งแต่แรก ก็มักจะรักษาสายตาไว้ได้
- ต้อหินแทรกซ้อน เกิดจากความผิดปกติอื่น ๆ ของดวงตา เช่นการอักเสบ ต้อกระจกที่สุกมากเกินไป อุบัติเหตุต่อดวงตา เนื้องอก การใช้ยาหยอดตาบางชนิด และเกิดตามหลังการผ่าตัดตา
- ต้อหินในเด็กและทารก เกิดจากความผิดปกติของดวงตาตั้งแต่แรกคลอด อาจมีความผิดปกติอื่น ๆ ของร่างกายด้วย มารดาอาจสังเกตเห็นว่าลูกน้อยมีอาหารน้ำตาไหล กลัวแสง หรือมีขนาดตาดำที่โตผิดปกติ หรือมีการขุ่นขาวของกระจกตาดำ ต้องรีบรักษาโดยจักษุแพทย์
การรักษาต้อหินทำได้อย่างไร
มักเริ่มด้วยยาหยอดตา ซึ่งเป็นยาที่ลดความดันตา ในปัจจุบันมียารักษาต้อหินใหม่ๆ ที่มีประสิทธิภาพสูงหลายชนิด ทำให้ลดความจำเป็นในการผ่าตัดได้มาก บางรายอาจใช้เลเซอร์ร่วมด้วย แต่หากไม่สามารถควบคุมโรคได้ อาจต้องรับการผ่าตัด ซึ่งมีหลายเทคนิค ที่จักษุแพทย์จะเลือกใช้ตามความเหมาะสมของผู้ป่วยแต่ละราย บางรายไม่ได้ผล อาจต้องผ่าตัดใส่ท่อระบาย ซึ่งทำจากวัสดุสังเคราะห์พิเศษ
การปฏิบัติตัวของท่านที่เป็นโรคต้อหิน ง่าย ๆ คือ
- 1. หยอดยาตามแพทย์สั่ง
- 2. อย่าปล่อยให้ขาดยา ควรไปซื้อยาก่อนที่ยาจะหมด
- 3. ไปพบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง
- 4. ควบคุมโรคประจำตัวให้ดี อาทิ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง เป็นต้น
- 5. ไม่สูบบุหรี่
- 6. ไม่ซื้อยาหยอดตาใช้เองโดยไม่ได้ปรึกษาจักษุแพทย์ของท่าน
- 7. พาสมาชิกครอบครัวของท่านตรวจสุขภาพตาโดยละเอียดกับจักษุแพทย์ ว่ามีต้อหินหรือไม่ หากพบจะได้เริ่มรักษาตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม
Update 10/05/2564