แพทย์ มช. เผย ฝุ่นละออง PM 2.5 ทำคนเลือดกำเดาไหลเพิ่ม 2 เท่า

อาจารย์แพทย์ มช. เผยผลวิจัย ช่วงเวลาที่ค่า PM 2.5 เพิ่มสูงขึ้น อุบัติการณ์ของคนไข้ที่มีเลือดกำเดาไหลโดยไม่ทราบสาเหตุ เพิ่มขึ้นตามไปด้วย เผยกลุ่มเสี่ยง ดมฝุ่นจนเลือดกำเดาไหล

วันที่ 19 มี.ค. 67 รศ.พญ.กรรณิการ์ รุ่งโรจน์วัฒนศิริ หัวหน้าภาควิชาโสต ศอ นาสิกวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เปิดเผยว่า ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน ของทุกปี ภาคเหนือตอนบนต้องเผชิญกับปัญหาค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือ PM 2.5 ที่สูงขึ้นเกินค่ามาตรฐาน ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงทั้งเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัว อาการที่มักจะพบบ่อยคือตาแดง ผื่นขึ้นตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เยื่อบุจมูกอักเสบ และเลือดกำเดาไหล ซึ่งเป็นอีกหนึ่งอาการที่ผู้ปกครองมักพาบุตรหลานมาพบแพทย์บ่อยที่สุด

          สาเหตุที่เด็กมีเลือดกำเดาไหลในช่วงที่มีค่าฝุ่นพีเอ็ม 2.5 สูงนั้น เมื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างอุบัติการณ์ของการเกิดเลือดกำเดาไหลในผู้ป่วยนอกเเละห้องฉุกเฉินของ โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ กับค่าฝุ่นที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางน้อยกว่า 2.5 ไมครอน ในช่วงที่มีฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือ PM 2.5 พบว่า ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน จะมีคนไข้เลือดกำเดาไหลโดยไม่ทราบสาเหตุเพิ่มขึ้นสองเท่า จากปกติเดือนละไม่ถึงสิบคนเพิ่มเป็นเดือนละประมาณ 20 คน จากสถิติทำให้พบว่าค่าฝุ่น PM 2.5 มีความสัมพันธ์กับจำนวนผู้ป่วยที่มาโรงพยาบาลด้วยอาการเลือดกำเดาไหลอย่างมีนัยสำคัญ

          ปกติแล้วบริเวณเยื่อบุในจมูกคนเราจะมีเลือดมาเลี้ยงเยอะอยู่แล้ว หากสูดเอาฝุ่น PM 2.5 เข้าไป จะทำให้เกิดการอักเสบบริเวณเยื่อบุในช่องจมูก และไปกระตุ้นทำให้เลือดออกได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะเด็กเล็กที่มีโอกาสเลือดกำเดาไหลง่ายกว่าผู้ใหญ่

          สาเหตุที่ฝุ่นทำให้เลือดกำเดาไหล มาจากค่าอนุภาพฝุ่นขนาดเล็กที่ร่างกายไม่สามารถกำจัดออกไปได้เมื่อหายใจเข้าไป ประกอบกับอุณหภูมิที่สูงขึ้นในช่วงฤดูร้อนเป็นปัจจัยเสริมทำให้เยื่อบุจมูกมีการอักเสบและแดงขึ้น มีเลือดมาเลี้ยงมากขึ้น โอกาสเลือดกำเดาไหลจึงเพิ่มมากขึ้นไปด้วย โดยเฉพาะกับคนที่มีโรคประจำตัวด้านภูมิแพ้ หรือคนไข้เด็กที่ชอบแคะจมูก โอกาสเลือดกำเดาไหลก็จะมีมากขึ้น  ฝุ่นควันที่เกินมาตรฐานมีผลกระทบโดยรวมต่อสุขภาพ แต่ในส่วนของเลือดกำเดาไหล ส่วนมากที่พบจะเป็นน้ำมูกปนเลือดที่ไม่ได้เป็นอันตรายมาก แต่หากเป็นเลือดกำเดาไหลปริมาณมาก ก็มีโอกาสทำให้สูญเสียเลือดมาก หากไม่สามารถห้ามเลือดได้ก็ต้องใส่วัสดุห้ามเลือดเข้าไปในช่องจมูก ซึ่งที่ผ่านมาก็เคยมีคนไข้กลุ่มนี้เข้ารับการรักษาจำนวนหนึ่ง” รศ.พญ.กรรณิการ์ กล่าว                                                                                                                                                                สำหรับกลุ่มเสี่ยงดมฝุ่นจนเลือดกำเดาไหลคือประชาชนทุกกลุ่ม แต่กลุ่มเปราะบางเป็นพิเศษ คือเด็กอายุน้อยกว่า 4 ขวบ สตรีมีครรภ์ ผู้ป่วยกลุ่มโรคประจำตัวด้านทางเดินหายใจ หอบหืด ภูมิแพ้ ที่อาจกระตุ้นอาการกำเริบ และบางคนที่ใช้ยาการป้องกันการแข็งตัวของเลือด รวมทั้งผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัว และใช้ยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือดที่จะทำให้เลือดออกง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม รศ.พญ.กรรณิการ์ แนะนำประชาชนที่จะต้องใช้ชีวิตท่ามกลางฝุ่นควัน ให้ตรวจสอบคุณภาพอากาศรอบตัว หากสูงเกินมาตรฐานก็ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมนอกบ้าน หรือใส่หน้ากากที่ป้องกันพีเอ็ม 2.5 รวมทั้งควรอยู่ในห้อง หรือสถานที่ที่มีเครื่องฟอกอากาศ เพื่อลดผลกระทบต่อสุขภาพให้ได้มากที่สุด

https://www.thairath.co.th/news/society/2771695#ltybgxshaglcqn9tno5

https://www.pptvhd36.com/health/news/4993