Postpartum Hemorrhage; PPH
ภาวะตกเลือดหลังคลอด
ภาวะตกเลือดหลังคลอด หมายถึง การเสียเลือดมากกว่า 500 มล. หลังการคลอดทางช่องคลอด หรือมากกว่า 1000 มล. หลังการผ่าตัดคลอด1 การคะเนปริมาณการเสียเลือดนั้นมักจะต่ำกว่าความเป็นจริง จึงจำเป็นต้องอาศัยทักษะทางคลินิกในการประเมินระดับความรุนแรง โดยทั่วไปอาการและอาการแสดงของการเสียเลือดมักจะยังไม่แสดงออกจนกว่าจะเสียเลือดมากกว่าร้อย 15% ของปริมาณเลือดทั้งหมดในร่างกาย หรือประมาณ 1000 มล. (ตารางที่ 1)
ตารางที่ 1 แสดงระดับความรุนแรงและปริมาณการเสียเลือดในสตรีตั้งครรภ์ 2
ระดับความรุนแรง |
ปริมาณการเสียเลือด |
ความดันโลหิต |
อาการและอาการแสดง |
ปรับตัวได้ |
10 – 15% (500 – 1000 มล.) |
ปกติ |
ใจสั่น วิงเวียน หัวใจเต้นเร็ว |
น้อย |
15 – 25% (1000 – 1500 มล.) |
ต่ำกว่าปกติเล็กน้อย |
อ่อนเพลีย เหงื่อออก หัวใจเต้นเร็ว |
ปานกลาง |
25 – 35% (1500 – 2000 มล.) |
70-80 มม.ปรอท |
กระสับกระส่าย ซีด ปัสสาวะออกน้อย |
มาก |
35 – 45% (2000 – 3000 มล.) |
50-70 มม.ปรอท |
เป็นลม เหนื่อยหอบ ปัสสาวะไม่ออก |
แนวทางการป้องกันภาวะตกเลือดหลังคลอด
1. ระยะตั้งครรภ์ และ ระยะคลอด
- ค้นหาปัจจัยเสี่ยง (ตารางที่ 2) หลีกเลี่ยงหรือรักษาปัจจัยเสี่ยง และให้การเฝ้าระวังเป็นพิเศษ
- แก้ไขปัญหาภาวะซีดก่อนคลอด (ถ้ามี)
- เจาะเลือด ส่ง CBC, cross match
- เปิดเส้นเลือดสำหรับน้ำเกลือพร้อมไว้ (ขนาดเข็มเบอร์ 18 เป็นอย่างน้อย)
- เตรียมทีม (สูติแพทย์ วิสัญญีแพทย์ ธนาคารเลือด) หรือ ส่งตัวเพื่อคลอดในสถานที่ที่มีความพร้อม
ตารางที่ 2 แสดงปัจจัยเสี่ยงของภาวะตกเลือดหลังคลอด3
|
2. ระยะที่สามของการคลอด (แนะนำให้ทำทุกรายไม่ว่าจะมีปัจจัยเสี่ยงหรือไม่)
- ให้ oxytocin หลังคลอดไหล่หน้า หรือหลังคลอดรก 4 มี 2 วิธีดังนี้
- Intravenous (IV) : ผสม oxytocin 10 – 20 ยูนิต ในน้ำเกลือ (LRS หรือ 0.9% Normal saline solution 1000 มล. หยดต่อเนื่อง 100 – 150 มล./ชม.
- Intramuscular (IM) : ฉีด oxytocin 10 ยูนิต
- ทำคลอดรกด้วยวิธี controlled cord traction ซึ่งทำโดยหนีบสายสะดือใกล้ฝีเย็บโดยใช้ sponge forceps จับสายสะดือให้ตึงเล็กน้อย รอจนมดลูกหดรัดตัวดีแล้วดึงสายสะดือลงอย่างนุ่มนวล ขณะที่มืออีกข้างวางเหนือกระดูกหัวหน่าว (ไม่ใช่ยอดมดลูก) คอยดันมดลูกไม่ให้เคลื่อนตามลงมา (counteraction) เพื่อป้องกันมดลูกปลิ้น พยายามให้มารดาช่วยเบ่งขณะดึงด้วย ถ้ารกไม่เคลื่อนตามขณะดึง 30-40 วินาที ให้หยุดและทำใหม่ในการหดรัดตัวครั้งต่อไป5
- ตรวจรกว่าครบหรือไม่
- เช็คช่องทางคลอด (ถ้าใช้หัตถการช่วยคลอดให้เช็คปากมดลูกด้วย)
- นวดมดลูกหลังคลอดรกให้แข็งตัว 6
- ตรวจคลำมดลูกเช็คการแข็งตัวทุก 15 นาที ใน 2 ชั่วโมงแรก และนวดซ้ำตามความจำเป็น
- ให้ oxytocin ต่อใน 2 ชั่วโมงแรกหลังคลอด (ในกรณีที่ให้ oxytocin แบบหยดต่อเนื่อง)
แนวทางการดูแลรักษาภาวะตกเลือดหลังคลอด
ขั้นตอนที่ 1: การประเมินและรักษาขั้นต้น
1. การกู้ชีพเบื้องต้น
- เปิดเส้นเลือดเพิ่มอีกหนึ่งเส้นด้วยเข็มเบอร์ใหญ่ (ขนาดเข็มเบอร์ 18 เป็นอย่างน้อย)
- ให้น้ำเกลือชนิด crystalloid (LRS หรือ 0.9% Normal Saline Solution) ในอัตรา 3 ต่อ 1 ของปริมาณการเสียเลือด 2
- ให้ออกซิเจน
- ตรวจติดตามสัญญาณชีพ และปริมาณปัสสาวะ (อย่างน้อย 30 – 60 มล./ชม.)
- ใส่สายสวนปัสสาวะ
2. การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
- CBC / Platelets
- PT / PTT
- Cross match ตามปริมาณการเสียเลือด (ตารางที่ 3)
- ถ้าการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ ให้ตรวจ fibrinogen, D-dimer, blood smear เพิ่มเติม 2
ตารางที่ 3 แสดงชนิดและส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์เลือด 1
ชนิดของเลือด (มล.) |
องค์ประกอบ |
ผลที่ได้รับ (ต่อ 1 ยูนิต) |
Pack red cell (240) | RBCs, WBCs, plasma | เพิ่ม Hct 3%
เพิ่ม Hb 1 กรัม/ดล. |
Platelets (50) | Platelets, RBCs, WBCs, plasma | เพิ่ม platelet count 5,000 – 10,000 มม3 |
Fresh frozen plasma (250) | Fibrinogen, antithrombin III, factors V, VIII | เพิ่ม fibrinogen 10 มก./ดล. |
Cryoprecipitate (40) | Fibrinogen, factors VIII, XIII, von Willebrand factor | เพิ่ม fibrinogen 10 มก./ดล. |
3. การประเมินสาเหตุ (4T’s)
- การหดรัดตัวของมดลูก (uterine tone)
- การตรวจรก (placental tissue)
- บาดเจ็บของช่องทางคลอดและแยกภาวะมดลูกแตก (genital tract trauma)
- การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ (abnormal thrombin clotting time)
ขั้นตอนที่ 2: การดูแลรักษาตามสาเหตุหลัก(4T’s)
1. การหดรัดตัวของมดลูกไม่ดี (uterine tone)
- นวดคลึงมดลูก
- ล้วงก้อนเลือดในช่องคลอด
- Bimanual uterine compression โดยใช้มือหนึ่งวางอยู่ทางหน้าท้อง โดยพับยอดมดลูกมาทาง pubic symphysis ให้มากดกับมือที่อยู่ในช่องคลอด
- ให้ยาช่วยการหดรัดตัวมดลูก (ตารางที่ 4) โดยแนะนำ oxytocin เป็นลำดับแรก และ/หรือ methylergonovine 7 ประเมินการตอบสนองโดยเร็ว (ภายใน 10 – 20 นาที) ถ้าไม่ได้ผลอาจให้ยากลุ่มพรอสตาแกลนดินส์ เช่น sulprostone และ/หรือ misoprostol (หลังให้พรอสตาแกลนดินส์ 30 นาทีแล้วไม่ดีขึ้นควรพิจารณาว่าล้มเหลว)
ตารางที่ 4 แสดงชนิดของยาช่วยการหดรัดตัวมดลูก1
ชนิดของยา | ขนาดและวิธีการให้ | ความถี่ | ข้อควรระวัง |
Oxytocin 10 ยูนิต/มล. | IV : 10-40 ยูนิตใน LRS หรือ NSS 1 ลิตร IM: 10 ยูนิต | หยดต่อเนื่อง | หลีกเลี่ยงการฉีดเข้าเส้นเลือดแบบไม่ผสม (ทำให้ความดันโลหิตต่ำ) |
Methylergonovine (Methergin, Expogin) 0.2 มก./มล. | 0.2 มก. IM หรือ IV ช้า ๆ | ทุก 2-4 ชม. | หลีกเลี่ยงกรณีความดันโลหิตสูง |
Sulprostone (Nalador) 500 มคก./หลอด | IM: 500 มคก. IV : 500 มคก. (ผสมน้ำ 250 มล. หยดต่อเนื่องใน 20 – 30 นาที) | ทุก 10-15 นาที | หลีกเลี่ยงในโรคหืด โรครุนแรงของตับ ไต หัวใจ ต้อหิน และแพ้ยา |
Misoprostol (Cytotec) 200 ไมโครกรัม/เม็ด | 800 – 1000 มคก. (4 – 5 เม็ด) สอดทางทวารหนัก | ทำให้มีไข้ หนาวสั่น ถ่ายเหลว |
2. รกไม่คลอด / คลอดไม่ครบ (placental tissue)
- ถ้ารกยังไม่คลอด ให้ล้วงรก (manual removal of placenta) โดยจับสายสะดือด้วยมือข้างที่ไม่ถนัด ใช้มือข้างที่ถนัดตามสายสะดือเข้าไปในโพรงมดลูกเพื่อคลำหาขอบรก มืออีกข้างย้ายมาจับที่หน้าท้องเพื่อตรึงมดลูกให้อยู่กับที่ ใช้สันมือที่อยู่ในโพรงมดลูกด้านนิ้วก้อยเซาะรกจนลอกตัวทั้งหมด (ไม่ใช้ปลายนิ้วตะกุย) แล้วจับรกทั้งอันออกมาทางปากมดลูก (หากไม่สามารถเซาะได้ หรือสงสัยว่ารกติด ควรหยุด)
- ถ้ารกคลอดแล้ว แต่ไม่แน่ใจว่าครบหรือไม่ ควรเช็คด้วยอัลตราซาวด์ว่ามีเศษรกค้างหรือไม่[8]
- ถ้ารกคลอดไม่ครบ หรือมีเศษรกค้าง ให้ขูดมดลูก (แนะนำให้ใช้ curet ตัวใหญ่ หรือ ring forceps และทำด้วยความระมัดระวัง)
3. บาดเจ็บช่องทางคลอด / มดลูกปลิ้น (genital tract trauma)
- เย็บซ่อมตำแหน่งฉีกขาด (ควรให้ยาระงับปวดให้เพียงพอ และใช้เครื่องมือช่วยให้เห็นตำแหน่งที่ฉีกขาดได้ชัดเจน)
- ผ่าตัดเปิดหน้าท้องเพื่อตัดมดลูก (กรณีมดลูกแตก)
- ใส่มดลูกกลับคืนกรณีมดลูกปลิ้น (manual replacement of uterine inversion)
- วิธีการทำ manual replacement of uterine inversion ก่อนทำอาจจำเป็นต้องให้ยาคลายกล้ามเนื้อมดลูก หรือยาระงับปวดให้เพียงพอ เช่น terbutaline, magnesium sulfate, halogen general anesthesia หรือ nitroglygerin หลังจากนั้นใช้ฝ่ามือข้างที่ถนัดจับที่ยอดมดลูก (ซึ่งปลิ้นออกมาจากปากมดลูก หรือปากช่องคลอด) คล้ายการจับลูกเทนนิส ดันมดลูกขึ้นไปด้านบนโดยใช้ปลายนิ้วจนกระทั่งยอดมดลูกอยู่ในตำแหน่งปกติ คามือไว้ในโพรงมดลูกสักครู่ขณะที่ให้ยากระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูก ใช้มืออีกข้างวางบนหน้าท้องและจับยอดมดลูกไว้ขณะที่ค่อย ๆ ถอนมือออกจากโพรงมดลูก และหยุดให้ยาคลายกล้ามเนื้อมดลูก (หากมดลูกปลิ้นขณะรกยังไม่ลอกตัว ไม่ควรเซาะรกก่อนใส่มดลูกกลับคืน) 1
4. การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ (abnormal thrombin clotting time)
- ให้แก้ไข และต้องให้เลือดทดแทน
- ปรึกษาอายุรแพทย์
ขั้นตอนที่ 3: กรณีไม่ตอบสนองต่อการรักษาเบื้องต้น
1. ขอความช่วยเหลือ
- สูติแพทย์ผู้มีประสบการณ์ / วิสัญญีแพทย์
- ส่งตัวผู้ป่วยอย่างมีประสิทธิภาพ (ประสานงานกับโรงพยาบาลที่รับ แพทย์ควรไปพร้อมผู้ป่วย)
- ใช้มาตรการต่าง ๆ เพื่อให้มีการเสียเลือดน้อยที่สุดระหว่างการส่งตัว เช่นการอัดแน่นในโพรงมดลูก (ตารางที่ 5) หรือ bimanual uterine compression (การ pack ในช่องคลอดเพียงอย่างเดียวไม่มีประโยชน์ในกรณี uterine atony)
- ให้น้ำเกลือ / เลือด / ยากระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูก เพื่อรักษาสัญญาณชีพให้ดีที่สุด
ตารางที่ 5 แสดงวิธีการอัดแน่นในโพรงมดลูกเพื่อแก้ไขภาวะตกเลือดหลังคลอด 1,9
เทคนิค | วิธีการ |
Gauze packing
|
ใช้ sponge stick ช่วยจัดเรียง gauze จากมุมบน (cornu) ด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่ง พับทบไปมาให้แน่นในโพรงมดลูก และปล่อยชายออกมาทางปากมดลูก |
Foley catheter | ใส่สายสวนปัสสาวะเข้าไปในโพรงมดลูก (อาจใช้มากกว่าหนึ่งอัน) เติมน้ำเกลือ 60–80 มล. ในกระเปาะ |
Condom balloon หรือ
Sengstaken–Blakemore tube หรือ SOS Bakri tamponade balloon |
ใส่สายสวนปัสสาวะ (สายยางแดง) ที่หุ้มด้วยถุงยางอนามัยตัดปลายให้เหลือ 4-5 นิ้ว มัดให้แน่น (หรือใส่อุปกรณ์เข้าไปในโพรงมดลูก) เติมน้ำเกลือ 300–500 มล. |
2. ปฏิบัติการกู้ชีพ
- ดูแลแบบผู้ป่วยหนัก (ห้องไอซียู)
- ควบคุมความดันโลหิตและการแข็งตัวของเลือด
- ให้เลือด / น้ำเกลือ / องค์ประกอบเลือด
3. วิธีการหยุดเลือด
3.1. ควบคุมเลือดออกเฉพาะที่ (อนุรักษ์ภาวะเจริญพันธุ์) (เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง)
- เย็บผูกเส้นเลือดมดลูก uterine arteries / อาจร่วมกับเย็บผูกเส้นเลือดรังไข่ (แนะนำ)
- เย็บผูกเส้นเลือดแดง internal iliac arteries (เฉพาะผู้มีประสบการณ์สูง)
- B-Lynch sutures[10] (ทางเลือก)
- Uterine tamponade / embolization (ทางเลือก)
- Recombinant Factor VIIa (ทางเลือก)
3.2. ตัดมดลูก (กรณีมีบุตรพอแล้ว หรือข้อ 3.1 ไม่ได้ผล หรือรกติด)
ขั้นตอนที่ 4: เลือดไม่หยุดหลังตัดมดลูก
-
แนะนำ: Abdominal packing / umbrella packing
- ทางเลือก: Arterial embolization / Recombinant Factor VIIa
Clinical Practice Guideline for Primary Postpartum Hemorrhage
ลำดับขั้นตอนในการดูแลรักษาภาวะตกเลือดหลังคลอด
ขั้นตอนที่ 1: การประเมินและรักษาขั้นต้น |
|||||
การกู้ชีพ
|
การประเมินสาเหตุ
|
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
|
|||
ขั้นตอนที่ 2: ดูแลรักษาตามสาเหตุหลัก |
|||||
Tone
การหดรัดตัวมดลูกไม่ดี
|
Tissue
รกไม่คลอด
|
Trauma
บาดเจ็บช่องทางคลอด / มดลูกปลิ้น
|
Thrombin
การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ
|
||
ขั้นตอนที่ 3 : ไม่ตอบสนองต่อการรักษาเบื้องต้น |
|||||
ขอความช่วยเหลือ
|
ควบคุมเลือดออกเฉพาะที่
|
ตัดมดลูก (total หรือ subtotal)
|
|||
ขั้นตอนที่ 4 : เลือดออกหลังตัดมดลูก |
|||||
|
|
|
เอกสารอ้างอิง
- ACOG Practice Bulletin: Clinical Management Guidelines for Obstetrician-Gynecologists Number 76, October 2006: postpartum hemorrhage. Obstet Gynecol 2006;108:1039-47.
- Bonnar J. Massive obstetric haemorrhage. Bailliere’s best practice & research 2000;14:1-18.
- Combs CA, Murphy EL, Laros RK, Jr. Factors associated with postpartum hemorrhage with vaginal birth. Obstet Gynecol 1991;77:69-76.
- Elbourne DR, Prendiville WJ, Carroli G, Wood J, McDonald S. Prophylactic use of oxytocin in the third stage of labour. Cochrane Database Syst Rev 2001:CD001808.
- Prendiville WJ, Elbourne D, McDonald S. Active versus expectant management in the third stage of labour. Cochrane Database Syst Rev 2000:CD000007.
- Hofmeyr GJ, Abdel-Aleem H, Abdel-Aleem MA. Uterine massage for preventing postpartum haemorrhage. Cochrane Database Syst Rev 2008:CD006431.
- Mousa HA, Alfirevic Z. Treatment for primary postpartum haemorrhage. Cochrane Database Syst Rev 2007:CD003249.
- Hertzberg BS, Bowie JD. Ultrasound of the postpartum uterus. Prediction of retained placental tissue. J Ultrasound Med 1991;10:451-6.
- Georgiou C. Balloon tamponade in the management of postpartum haemorrhage: a review. BJOG 2009;116:748-57.
- Allam MS, C BL. The B-Lynch and other uterine compression suture techniques. Int J Gynaecol Obstet 2005;89:236-41.