Pregnancies with Diabetes Mellitus : โรคเบาหวานในสตรีตั้งครรภ์
นพ. ธีระ ทองสง
การเปลี่ยนแปลงในการใช้พลังงานของการตั้งครรภ์ปกติ
- HPL ที่สร้าง syncytiotrophoblast เพิ่มระดับขึ้นตลอดการตั้งครรภ์ มีฤทธิ์สำคัญคือ ต้านอินสุลิน และสลายไขมัน ทำให้ระดับอินสุลินเพิ่มมากตลอดการตั้งครรภ์แต่ประสิทธิภาพลดลง
- การตั้งครรภ์จัดว่าเป็นภาวะ diabetogenic state หรือ glucose intolerance มากขึ้น คือ ความสามารถของอินสุลินในการนำกลูโคสเข้าสู่เซลล์ลดลง ระดับอินสุลินสูง มี postprandial hyperglycemia แต่ fasting hypoglycemia (เนื่องจากมีการขนย้ายไปสู่ทารกมาก โดยวิธี facilitated diffusion) ระดับไขมันในพลาสมาเพิ่มขึ้น กรดอะมิโนในเลือดลดลง ฯลฯ
- มารดาใช้พลังงานจากไขมันมากขึ้น มีคีโตนส์ในปัสสาวะมากขึ้น ระดับกลูโคสต่ำลง ทำให้อยู่ในสภาพคล้ายอดอาหาร ดังที่เรียกว่า accelerated starvation
- FFA ผ่านรกโดยวิธี gradient-dependent diffusion เมื่อผ่านเข้าไปสู่ทารกแล้วจะถูก esterified กลายเป็น triglyceride โดยเซลล์ไขมัน
เบาหวาน
เบาหวานหมายถึงความผิดปกติเรื้อรังของเมตาบอลิซึมที่เกิดจากการขาดอินสุลินซึ่งอาจจะเป็นการขาดแบบสมบูรณ์หรือแบบสัมพัทธ์ ก่อให้เกิดลักษณะจำเพาะโรคคือ มีภาวะระดับน้ำตาลสูงในระยะ post-prandial หรือ fasting หรือทั้งสองกรณี มักมี ketosis และการสูญเสียโปรตีนร่วมด้วย เมื่อโรคดำเนินไปยาวนานอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนของโรคหลอดเลือดเล็ก ๆ มี microangiopathy โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่จอตา และ glomerulus ของไต การทำงานของไตแย่ลง และเร่งการเกิดเส้นเลือดแข็ง นิยมจำแนกดังนี้คือ
- Type 1 : เป็นภาวะที่ขาดอินสุลินโดยสัมบูรณ์
- Type 1A: เกิดจากระบบอิมมูนทำลายเซลล์เบต้า
- Type 1B: เกิดจากการทำลายเซลล์เบต้าโดยไม่ทราบสาเหตุ
- Type 2: เกิดจากการหลั่งอินสุลินได้ไม่พอ หรือมีภาวะดื้อต่ออินสุลิน ต้องการอินสุลินป้องกัน ketosis ระดับอินสุลินต่ำ
- มิวเตชั่นของยีนสำหรับการทำงานของเซลล์เบต้า
- ความผิดปกติทางพันธุกรรมในการออกฤทธิ์ของอินสุลิน
- กลุ่มโรคทางพันธุกรรม เช่น กลุ่มอาการดาวน์ Klinefelter, Turner เป็นต้น
- โรคตับอ่อน เช่น ตับอ่อนอักเสบ cystic fibrosis
- โรคทางเอ็นโดครีน เช่น Cushing’s syndrome เป็นต้น
- ยาหรือสารเคมี เช่น glucocorticoids, thiazide, beta-adrenergic atonist เป็นต้น
- การติดเชื้อ เช่น หัดเยอรมันโดยกำเนิด cytomegalovirus และ coxackievirus
- Impaired Glucose Tolerance : คือ fasting plasma glucose ต่ำกว่า 140 มก./ดล. 2 ชั่วโมงหลังให้ glucose load 75 กรัม อยู่ระหว่าง 140-200 มก./ดล. และที่ 1/2, 1 หรือ 1 1/2 ชั่วโมง มีค่ามากกว่า 200 มก./ดล. (ถ้าค่าแรกเกิน 140 และค่าหลัง 2 ชม.เกิน 200 มก./ดล. แสดงว่าเป็น overt DM)
- Gestational Diabetes Mellitus (GDM) : คือเบาหวานที่วินิจฉัยขณะตั้งครรภ์ นับเป็น90% ของ DM ขณะตั้งครรภ์ และส่วนใหญ่ (95%) เป็นเพียง chemical (abnormal OGTT)
เบาหวานขณะตั้งครรภ์
โรคเบาหวานเป็นภาวะแทรกซ้อนทางอายุรศาสตร์ที่สำคัญในสตรีตั้งครรภ์ ก่อให้เกิดอันตรายต่อทั้งมารดาและทารก และการตั้งครรภ์เองก็ทำให้โรครุนแรงมากขึ้น อุบัติการของเบาหวานขณะตั้งครรภ์ประมาณร้อยละ 2-3 และพบมากขึ้นเมื่อสตรีตั้งครรภ์อายุมากขึ้น
Oral Glucose Tolerance Test (OGTT): รับประทานกลูโคสขนาด 100 กรัม (ควรรับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตอย่างน้อย 200 กรัมต่อวัน มา 3 วันก่อนการทดสอบ) เจาะเลือดตรวจระดับน้ำตาลขณะ fasting และหลังรับประทานกลูโคส 1, 2 และ 3 ชั่วโมง ค่าปกติของการทดสอบขณะตั้งครรภ์มีดังตารางที่ 1 ถ้า OGTT ผิดปกติตั้งแต่ 2 ค่าขึ้นไป และ FBS ปกติ ให้แปลผลว่าเป็นเพียง chemical DM แต่ถ้า FBS ผิดปกติ 2 ครั้ง ให้แปลผลว่าเป็น overt DM
ตารางที่ 1 ค่าระดับน้ำตาลในซีรั่มหรือพลาสมา ของการทดสอบ OGTT ในขณะตั้งครรภ์
ค่าระดับกลูโคส | Fasting | 1 ชั่วโมง | 2 ชั่วโมง | 3 ชั่วโมง |
ระดับในซีรั่มหรือพลาสมา (มก./ดล.) | 105 | 190 | 165 | 145 |
(Glucose oxidase test) (มก./ดล.) | (100) | (180) | (160) | (140) |
(ที่มา: American College Obstetricians and Gynecologists: Diabetes Mellitus in Pregnancy. Technical Bulletin no. 200, December 1994)
การจำแนกเบาหวานในสตรีตั้งครรภ์
เบาหวานในสตรีตั้งครรภ์แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ
- เบาหวานที่วินิจฉัยครั้งแรกขณะตั้งครรภ์ (gestational DM)
- เบาหวานที่ได้รับการวินิจฉัยมาก่อนการตั้งครรภ์ (pregestational DM)
Gestational Diabetes Mellitus (GDM)
เป็นเบาหวานที่ได้รับการวินิจฉัยครั้งแรกขณะตั้งครรภ์ ซึ่งนับเป็นร้อยละ 90 ของเบาหวานที่พบในสตรีตั้งครรภ์ แบ่งออกเป็น 2 ระดับความรุนแรง คือ class A1 (chemical DM) ซึ่งพบเป็นส่วนใหญ่ (95%) กับ class A2 (overt DM) หมายถึงมี fasting hyperglycemia คือระดับน้ำตาลมากกว่า 105 มก./ดล. ซึ่งพบได้ประมาณ 5% ประมาณ 10-15% ของ chemical GDM จะกลายเป็น overt DM ในตอนท้าย ๆ ของการตั้งครรภ์
GDM ไม่สัมพันธ์กับทารกพิการโดยกำเนิด แต่สัมพันธ์กับปัญหาอื่น ๆ ได้บ่อย ๆ เช่น
- ทารกตัวโต (macrosomia) ซึ่งเพิ่มอุบัติการณ์การคลอดไหล่ยาก (พบได้ร้อยละ 3 ใน GDM class A1)
- ทารกแรกคลอดมีน้ำตาลในเลือดต่ำ (ค่ากลูโคสต่ำกว่า 35 มก./ดล.)
- GDM class A2 สัมพันธ์กับการตายโดยไม่ทราบสาเหตุ เช่นเดียวกับ overt DM ที่เป็นมาก่อนการตั้งครรภ์
- ประมาณกว่าครึ่งหนึ่งของ GDM จะกลายเป็น overt DM ในที่สุด จากการติดตาม 20 ปี
การดูแลรักษา GDM
- การควบคุมเบาหวาน class A1 อาศัยการควบคุมอาหารอย่างเดียว วัด FBS และ/หรือ 2-hr PPPG ทุก 1-2 สัปดาห์ class A2 ควรติดตามระดับน้ำตาลเหมือน overt pregestational DM
- การออกกำลังอย่างเหมาะสมจะช่วยให้ควบคุมน้ำตาลดีขึ้น ดีกว่าควบคุมด้วยอาหารเพียงอย่างเดียว
- Class A1 ไม่จำเป็นต้องทดสอบสุขภาพในครรภ์เป็นพิเศษ แต่ควรเริ่มทดสอบเมื่อ 40 สัปดาห์ การเป็นซ้ำในครรภ์ต่อมาของ GDM 2/3 โดยเฉพาะในรายที่อ้วน
- แนะนำเช็คหลังคลอด 2-3 เดือน (75g-OGTT) และทุก ๆ ปี
ตารางที่ 2 การแบ่งเบาหวานในสตรีตั้งครรภ์
Class | Onset | Fasting plasma glucose | 2-hr postprandial glucose | การรักษา |
Gestational DM | ||||
A1 | ตั้งครรภ์ | < 105 มก./ดล. | < 120 มก./ดล. | ควบคุมอาหาร |
A2 | ตั้งครรภ์ | > 105 มก./ดล. | > 120 มก./ดล. | อินสุลิน |
Pregestational DM | ||||
Class | อายุที่เริ่มเป็น | ระยะเวลาที่เป็น (ปี) | โรคที่หลอดเลือด | การรักษา |
B | มากกว่า 20 | น้อยกว่า 10 | ไม่มี | อินสุลิน |
C | 10-19 | 10-19 | ไม่มี | อินสุลิน |
D | ก่อน 10 | มากกว่า 20 | Benign retinopathy | อินสุลิน |
F | ไม่คำนึง | ไม่คำนึง | Nephropathy | อินสุลิน |
R | ไม่คำนึง | ไม่คำนึง | Proliferative retinopathy | อินสุลิน |
H | ไม่คำนึง | ไม่คำนึง | โรคหัวใจ | อินสุลิน |
ที่มา : Cunningham FG, Leveno KJ, Bloom SL, Hauth JC, Gilstrap III LC, Wenstrom KD. Williams obstetrics. 22th ed. New York : McGraw-Hill, 2005;1171.
ผลของโรคเบาหวานต่อการตั้งครรภ์และการคลอด
- เพิ่มการแท้ง ในราย PGDM ที่ควบคุมไม่ดี
- Hypoglycemia : ส่วนมากเกิดในครึ่งแรกของการตั้งครรภ์ จากการใช้อินสุลินในขนาดเดิมในขณะที่ความต้องการอินสุลินในระยะนี้ลดลง
- Hyperglycemia : มักเกิดในครึ่งหลังของการตั้งครรภ์
- ติดเชื้อได้ง่าย โดยเฉพาะการติดเชื้อของระบบทางเดินปัสสาวะเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า
- ภาวะความดันโลหิตสูงเนื่องจากการตั้งครรภ์สูงขึ้นประมาณ 4 เท่า (15-20%) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายที่มี nephropathy อาจพบ preeclampsia ได้ถึง 50%
- อุบัติการครรภ์แฝดน้ำเพิ่มขึ้น (hydramnios)
- การคลอดยากและอันตรายต่อช่องทางคลอด เนื่องจาก macrosomia
- การตกเลือดหลังคลอด สัมพันธ์กับมดลูกขนาดใหญ่
- เพิ่มอัตราการตายของมารดาเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในรายที่เป็นรุนแรง และควบคุมเบาหวานได้ไม่ดี ส่วนมากเกิดจาก ketoacidosis ความดันโลหิตสูง PIH และกรวยไตอักเสบ class H มีอัตราการตายสูง
ผลของการตั้งครรภ์ต่อโรคเบาหวาน
- ควบคุมเบาหวานยากขึ้น ความต้องการอินสุลินไม่แน่นอน ช่วงแรกความต้องการอินสุลินจะลดลง เกิด hypoglycemia ได้ง่าย แต่ช่วงหลังความต้องการอินสุลินจะสูงขึ้นมาก น้ำตาลในปัสสาวะบอกสภาพการควบคุมเบาหวานได้ไม่แน่นอน ครรภ์ปกติก็ตรวจพบได้
- เกิดภาวะ diabetic ketoacidosis ได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะเมื่อมีการติดเชื้อ หรือภาวะเครียด
- โอกาสเกิด retinopathy และ nephropathy อาจสูงขึ้น
- diabetic nephropathy : การทำงานของไตอาจแย่ลงจากการตั้งครรภ์
ผลของโรคเบาหวานต่อทารกในครรภ์และทารกแรกคลอด
- ทารกตัวใหญ่กว่าปกติ (macrosomia)
- Neonatal hypoglycemia, hypocalcemia, hypomagnesemia
- Polycythemia ซึ่งสัมพันธ์กับการขาดออกซิเจนเรื้อรังจาก diabetic microangiopathy
- ทารกพิการโดยกำเนิด : พบได้บ่อยขึ้น ที่พบได้บ่อยที่สุดคือ หัวใจ เช่น VSD การได้ควบคุมน้ำตาลมาอย่างดีตั้งแต่ช่วงปฏิสนธิจะช่วยลดอุบัติการดังกล่าวจนใกล้เคียงทั่วไป
- การตายของทารกในครรภ์ พบบ่อยขึ้นใน overt DM
- อัตราการเกิด RDS พบได้บ่อยขึ้น เนื่องจากพัฒนาการของปอดล่าช้า
- การตายของทารกหลังคลอด พบสูงขึ้นซึ่งสัมพันธ์กับ ความพิการโดยกำเนิด RDS, hypoglycemia, hypocalcemia, hyperbilirubinemia และการติดเชื้อ เป็นต้น
ตารางที่ 3 ความพิการโดยกำเนิดที่พบได้ในทารกของมารดาที่เป็น overt DM
Caudal regression | 252 |
Situs inversus | 84 |
Spina bifida, hydrocephalus, หรือความผิดปกติอื่น ๆ ของ CNS | 2 |
Anencephaly | 3 |
หัวใจพิการ | 4 |
ทวารหนัก/ลำไส้ตรงตีบตัน | 3 |
ความผิดปกติของไต | 5 |
|
4 |
|
4 |
|
23 |
ที่มา : Cunningham FG, Leveno KJ, Bloom SL, Hauth JC, Gilstrap III LC, Wenstrom KD. Williams obstetrics. 22th ed. New York : McGraw-Hill, 2005;1177.
การตรวจคัดกรองโรค (screening test)
ประเมินความเสี่ยงขณะมาฝากครรภ์ครั้งแรก แนะนำให้เลือกตรวจคัดกรองตามความเสี่ยง (selective) มากกว่าตรวจคัดกรองทุกราย (universal)
ความเสี่ยงต่ำ: ไม่จำเป็นต้องทดสอบน้ำตาลในเลือดเป็นกิจวัตรถ้ามีลักษณะดังนี้
- มาจากประชากรกลุ่มเสี่ยงต่ำ
- ไม่มีญาติใกล้ชิดเป็นเบาหวาน
- อายุน้อยกว่า 25 ปี
- น้ำหนักก่อนการตั้งครรภ์อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- ไม่มีประวัติเมตาบอลิซึมของกลูโคสผิดปกติ
- ไม่มีประวัติทางสูติกรรมที่เสี่ยง
ความเสี่ยงปานกลาง: ทดสอบ glucose screening test ขณะ 24-28 สัปดาห์อย่างใดอย่างหนึ่งดังต่ำไปนี้
- GCT ให้รับประทานกลูโคส 50 กรัม เจาะเลือดตรวจ 1 ชั่วโมง ต่อมาถ้าระดับในพลาสมามากกว่าหรือเท่ากับ 140 มก/ดล. ถือว่าผิดปกติ ถ้าผิดปกติให้ทำ ต่อ
- One-step procedure: OGTT เจาะเลือดขณะอดอาหารและหลังให้รับประทานกลูโคส 100 กรัม แล้ว 1, 2 และ 3 ชั่วโมงตามลำดับ (ถ้ามีค่าผิดปกติ 2 ใน 3 ค่าของค่าที่ 1,2,3 ชั่วโมง วินิจฉัยเป็นเบาหวาน class A1 หรือ glucose intolerance ถ้าค่า FBS ผิดปกติ (ตรวจอย่างน้อย 2 ครั้ง) วินิจฉัย overt DM (class A2)
ความเสี่ยงสูง: ทดสอบน้ำตาลในเลือดเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ (โดยวิธีที่กล่าวมา)
- ถ้าไม่พบ GDM ทดสอบซ้ำขณะ 24-28 สัปดาห์ หรือเมื่อใดก็ตามที่มี hyperglycemia
[Adapted from Fourth International Workshop-Conference on Gestational Diabetes Mellitus. Diabetes Care 21(Suppl 2):B161, 1998]
การดูแลรักษา
หลักการสำคัญคือ ควบคุมน้ำตาลให้ได้ดีตลอดการตั้งครรภ์ ตรวจติดตามสุขภาพทารกในครรภ์ ป้องกันภาวะแทรกซ้อน ยุติการตั้งครรภ์ในเวลาที่เหมาะสม (ในที่นี้เน้น overt DM)
การให้คำปรึกษาก่อนการตั้งครรภ์
- การตั้งครรภ์จึงควรมีการวางแผนล่วงหน้า คุมกำเนิดอย่างมีประสิทธิภาพสูง
- ควบคุมระดับน้ำตาลให้ได้ดีเสียก่อนแล้วจึงตั้งครรภ์ เพื่อลดความเสี่ยงของความพิการในทารก
- การตรวจดูระดับ Hemoglobin A1C ซึ่งสะท้อนถึงระดับน้ำตาลในช่วง 4-6 สัปดาห์ที่ผ่านมาว่าดีหรือไม่ (ค่าปกติ 5-6%, ถ้า > 8% ถือว่าผิดปกติ)
การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของมารดา
- การควบคุมอาหาร (เฉลี่ยควรจะได้วันละประมาณ 1800-2000 Kcal สัดส่วนโปรตีน12-20% CHO 50-60% ที่เหลือเป็นไขมัน)
- หลีกเลี่ยงคาเฟอีน อาหารมัน รสจัด และแนะนำดื่มน้ำช่วงพักระหว่างมื้อ มากกว่าดื่มในช่วงมื้ออาหาร
- การออกกำลังอย่างเหมาะสม : จะช่วยให้ดีขึ้น ดีกว่าควบคุมอาหารอย่างเดียว
- การควบคุมด้วยอินสุลิน (overt DM)
- เป้าหมายในการควบคุมน้ำตาลมีดังนี้คือ
FBS | 60-90 มก./ดล. |
Before lunch, dinner, snack | 60-105 มก./ดล. |
After meal 1hr | < 140 มก./ดล. |
2hr | < 120 มก./ดล. |
From 2-6 AM | 60-90 มก./ดล. |
- ระวังและรักษา diabetic ketoacidosis (DKA) ซึ่งเกิดได้ง่ายขึ้นในคนตั้งครรภ์ ซึ่งเกิดได้บ่อยแม้เพียงระดับน้ำตาล 200-250 มก./ดล.
-
- การประเมินสุขภาพของทารกในครรภ์ ใน overt DM แนะนำให้ทดสอบ BPP หรือ NST อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง หลัง 30-32 สัปดาห์
- คัดกรองความพิการโดยกำเนิด (ใน PGDM): ตรวจอัลตราซาวด์ขึ้นละเอียด (18-20 สัปดาห์)
- ทดสอบ lung maturity ในรายที่อาจต้องให้คลอดก่อนกำหนด เนื่องจากทารกกลุ่ม DM class A,B,C มี delayed lung maturity ได้บ่อยขึ้น (ทดสอบระดับ phosphatidylglycerol ดีที่สุด)
- การรับไว้รักษาในโรงพยาบาล
- ผู้ป่วยทุกรายที่ควบคุมน้ำตาลได้ไม่ดี ควรให้นอนโรงพยาบาลเพื่อควบคุมน้ำตาล
- ในรายที่ต้องพึ่งอินสุลิน แนะนำให้รับผู้ป่วยไว้ในโรงพยาบาลตั้งแต่อายุครรภ์ 34 สัปดาห์ เป็นต้นไป เนื่องจากอัตราการตายในครรภ์สูงเป็นสองเท่าในระยะท้าย ๆ ของการตั้งครรภ์
- Class A1 อาจไม่ต้องรับไว้ในโรงพยาบาลก่อนคลอดก็ได้ถ้าทุกอย่างปกติดี
การคลอด
- ถ้ามีการยับยั้งการเจ็บครรภ์ต้องหลีกเลี่ยงการให้ beta-stimulator ซึ่งอาจทำให้เกิด ketoacidosis ได้ง่าย การควบคุมน้ำตาลแย่ลง อาจให้แมกนีเซียมแทน
- การให้สเตียรอยด์เพื่อเร่งพัฒนาของปอด ให้ได้ด้วยความระมัดระวัง
- ระยะเวลาที่ควรให้คลอด: Class A1 ควรให้คลอดเมื่อครบกำหนด ถ้าสุขภาพของทารกปกติ class อื่น ๆ ที่ควบคุมน้ำตาลไม่ดีให้คลอดก่อนอายุครรภ์ 39 สัปดาห์ เพราะอัตราการตายของทารกสูงมากหลังจากนี้
- ระวังการคลอดยาก การคลอดไหล่ยาก ถ้าทารกโตมาก เช่น เกิน 4,500 กรัมควรนัดผ่าตัดคลอด
- ควบคุมน้ำตาลระยะคลอดด้วยอินสุลินอย่างใกล้ชิด
การดูแลหลังคลอด
- ควบคุมระดับน้ำตาล: ทันทีหลังคลอดระวังน้ำตาลต่ำเนื่องจากความต้องการอินสุลินลดลงทันที เนื่องจาก HPL ลดลงฉับพลัน
- ป้องกันและรักษาการตกเลือด และการติดเชื้อหลังคลอด
- ทารกควรมีกุมารแพทย์มาให้การดูแลรักษาด้วย ต้องระวังเรื่อง hypoglycemia, acidosis และ respiratory distress syndrome
- วิธีการคุมกำเนิด ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนต่ำ หลีกเลี่ยงเอสโตรเจนปริมาณสูงprogestin-only pill, Norplant มีผลต่อเมตาบอลิซึมของคาร์โบฮัยเดรตน้อย ห่วงอนามัยก็สามารถใช้ได้ (แม้โดยทฤษฎีอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อบ้าง)