Antepartum Hemorrhage
ภาวะตกเลือดก่อนคลอด
การดูแลขั้นต้น
- รับผู้ป่วยไว้ในโรงพยาบาล (admit)
- ห้ามตรวจภายในและห้ามตรวจทางทวารหนัก (No PV, No PR) จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าการตกเลือดนี้ไม่ได้เกิดจากภาวะรกเกาะต่ำ
- วินิจฉัยแยกโรคเบื้องต้นจาก
- ซักประวัติและตรวจร่างกายอย่างละเอียด (พยายามแยก excessive bloody show รกลอกตัว)
- การตรวจร่างกาย (no PV, no PR)
- วัดระดับยอดมดลูก และทำเครื่องหมายระดับยอดมดลูก เพื่อดูการเปลี่ยนแปลง
- ตรวจ Leopold maneuver
- ประเมินการหดรัดตัวของมดลูก (duration, interval, intensity, tone และ tenderness)
- ประเมินสภาวะทารกในครรภ์โดยการทำ FHR monitoring เช่น NST, CST เป็นต้น
- ให้สารน้ำทดแทน เตรียมหรือพิจารณาให้เลือด
- การตรวจทางห้องปฏิบัติการพื้นฐาน
- บันทึก intake/output อาจจำเป็นต้องใส่สายสวนปัสสาวะเพื่อบันทึกปริมาณปัสสาวะต่อชั่วโมง
- การตรวจอัลตราซาวด์ทางช่องคลอดหรือหน้าท้อง ช่วยวินิจฉัยรกเกาะต่ำ และรกลอกตัวก่อนกำหนด
- ตรวจภายในหารอยโรคเฉพาะที่ (ในกรณีที่ไม่มีรกเกาะต่ำ)
การดูแลรักษารกลอกตัวก่อนกำหนด
- ในรายที่ไม่มีภาวะรกเกาะต่ำ อัลตราซาวด์ปกติ ไม่พบรอยโรคเฉพาะที่ หรือไม่มีสาเหตุอื่น ๆ ควรสงสัยภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนดไว้ด้วยเสมอ1. แก้ไขภาวะ hypovolemia และอีเลคโตรไลท์ (สารน้ำ เลือด)
- ประเมิน แก้ไขและติดตาม consumptive coagulopathy
- ยุติการตั้งครรภ์
- เจาะถุงน้ำคร่ำเมื่อไม่มีข้อห้าม หยด oxytocin ถ้าการหดรัดตัวไม่ดี
- ถ้าทารกยังมีชีวิต continuous fetal heart rate monitoring เพื่อเฝ้าระวัง fetal distress
- ให้คลอดทางช่องคลอด
- ผ่าท้องคลอดตามข้อบ่งชี้ทางสูติศาสตร์ เช่น fetal distress
- expectant (ไม่ยุติการตั้งครรภ์) ถือเป็นกรณีพิเศษที่ไม่กระทำโดยทั่วไป อาจพิจารณาในรายอายุครรภ์น้อย รกลอกตัวเล็กน้อย เลือดหยุดแล้ว ไม่มีภาวะแทรกซ้อนใด สุขภาพทารกและมารดาดี อาจให้ magnesium sulfate ยับยั้งเจ็บครรภ์ได้ (เพื่อให้สเตียรอยด์)
- ป้องกันและแก้ไขภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น เช่น ไตล้มเหลว ตกเลือดหลังคลอด (จาก atony)
การดูแลรักษาภาวะรกเกาะต่ำ
- การวินิจฉัยขณะอายุครรภ์ยังน้อย รักษาแบบ expectant ถ้าไม่มีเลือดออกอีกเลย ให้ตรวจอัลตราซาวด์ซ้ำว่าภาวะรกเกาะต่ำยังคงมีอยู่หรือไม่ในไตรมาสสุดท้าย
- การรับไว้รักษาเบื้องต้น ได้แก่ การสังเกตอาการตกเลือด โดย
- ให้รับไว้รักษาในโรงพยาบาล ควรดูแลอย่างใกล้ชิดในห้องคลอด
- ห้ามตรวจทางช่องคลอด หรือทางทวารหนัก และห้ามสวนอุจจาระ
- งดน้ำและอาหารทางปาก ให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดแทน
- ตรวจความเข้มข้นของเลือด เตรียมเลือดและให้เลือดเมื่อมีข้อบ่ง
- เลือดออกมาก หรือ fetal distress : ผ่าตัดคลอดและให้เลือด/สารน้ำชดเชย ทางเลือกรองคือ aggressive expectant (ให้เลือดชดเชยให้พอ) ถือเป้นกรณียกเว้น ซึ่งเลือกทำในกรณีมีเลือดพร้อม อายุครรภ์น้อย และต้องการบุตรมาก พร้อมที่จะผ่าตัดตลอดเวลา
- ไม่มีเลือดออกอีก :
- รกเกาะต่ำชนิดคลุม os ทั้งหมดในไตรมาสสุดท้าย : วางแผนผ่าตัดคลอดเมื่อครบกำหนด
- รกเกาะต่ำแต่ไม่คลุม os : expectant รอให้เจ็บครรภ์เอง แต่พร้อมจะผ่าตัดคลอด (เตรียมเลือดและห้องผ่าตัด) หลีกเลี่ยงการตรวจภายในในระยะแรกของการคลอด เมื่อจำเป็นต้องตรวจเพื่อประเมินความก้าวหน้าของปากมดลูก อาจต้องทำแบบกึ่ง double setup
- แนะนำให้นอนโรงพยาบาลตลอด แต่อาจเลือกบางรายรักษาแบบผู้ป่วยนอกได้ ถ้าผู้ป่วยเข้าใจดี ไม่มีเลือดออกอีกเลย และมีความพร้อมที่จะมาโรงพยาบาลได้อย่างรวดเร็ว งดมีเพศสัมพันธ์ หรือสวนล้างช่องคลอด
- Expectant คือ
- พักผ่อนอยู่กับเตียง
- บันทึกอาการแสดงชีพ (vital signs)
- อัตราการเต้นของหัวใจทารก เฝ้าสังเกตปริมาณเลือดออก
- หลังเฝ้าดูแลอย่างน้อย 12-24 ชั่วโมง แล้วไม่พบเลือดออกอีก ให้เริ่มรับประทานอาหารอ่อนได้
- หลังเลือดหยุดได้ 2-3 วัน
- บางรายเลือดออกไม่มาก แต่มีเจ็บครรภ์ก่อนกำหนดร่วมด้วย อาจต้องพิจารณายับยั้งการเจ็บครรภ์คลอดเพื่อให้สเตียรอยด์
- การผ่าตัดคลอดจะต้องอาศัยผู้ที่มีความพร้อมและชำนาญที่สุดของทีมผ่าตัด จะต้องทราบตำแหน่งรกเกาะ ถ้ารกเกาะด้านหน้าควรวางแผนล่วงหน้าว่าจะผ่าทะลุรก หรืออ้อมชายรก
- หลังเด็กและรกคลอดแล้ว ให้ยากระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูก ให้เลือดอย่างพอเพียง บางรายรกติดแน่นอาจจำเป็นต้องตัดมดลูก
การดูแลรักษาการตกเลือดจากสาเหตุอื่น ๆ
มดลูกแตก (Rupture of the Uterus)
- นึกถึงภาวะมดลูกแตกเสมอ ในรายที่มีเหตุชวนให้เกิด
- แก้ไขสาเหตุของภาวะมดลูกแตกคุกคาม ถ้าคลอดทางช่องคลอดไม่ได้ ก็ควรผ่าทัองทำคลอด
- แก้ไขภาวะช็อค
- Exploratory laparotomy ทุกรายทันที ไม่ว่าทารกจะมีชีวิตอยู่หรือไม่
- เย็บซ่อมแซมหรือตัดมดลูกขึ้นอยู่กับพยาธิสภาพของรอยแตก และความต้องการมีบุตรอีกหรือไม่ ในรายที่เย็บซ่อมแซมอาจพบมีความเสี่ยงต่อมดลูกแตกซ้ำในครรภ์ต่อไปได้ราวร้อยละ 20 ดังนั้นถ้าไม่ต้องการมีบุตร และเย็บซ่อมแซมได้ให้ทำหมันเสีย อย่างไรก็ตามโดยส่วนใหญ่แล้วมักจะตัดมดลูก
- ถ้าเลือดออกอีกอาจต้องทำผ่าตัดเพื่อผูก hypogastric arteries ทั้งสองข้างร่วมด้วย ภายหลังการตัดมดลูกออกแล้ว
- ให้เลือดทดแทน และให้ยาปฏิชีวนะเต็มที่
การแตกของ Vasa Prevua
ลักษณะเด่นทางคลินิก : การตรวจภายในเห็นหรือคลำพบเส้นเลือดที่เต้นเข้าจังหวะ (Synchronous) กับเสียงหัวใจทารก มีเลือดออกทางช่องคลอดตามหลังหรือพร้อม ๆ กับ ถุงน้ำคร่ำแตกแล้ว (color ultrasound จะเห็นเส้นเลือดทอดอยู่ต่ำกว่าส่วนนำ) และมี fetal distress หรือเสียชีวิต ตรวจเลือดในช่องคลอดพิสูจน์เป็นของทารก การตรวจรกหลังคลอดจะพบมีรอยฉีกขาดของเส้นเลือดที่ทอดอยู่บนเยื่อหุ้มทารก
แนวทางการรักษา
- ต้องนึกถึงภาวะ vasa previa เสมอ ในรายรกเกาะต่ำ ครรภ์แฝด และทุกครั้งที่ทำการเจาะถุงน้ำคร่ำ (amniotomy)
- ถ้าวินิจฉัยได้ก่อนถุงน้ำคร่ำแตก ให้ผ่าท้องทำคลอด
- ถ้าวินิจฉัยได้หลังถุงน้ำคร่ำแตกแล้ว ต้องทำให้การตั้งครรภ์สิ้นสุดลงทันทีโดย
- ใช้คีมดึง (forcep extraction) ถ้าทำได้
- ผ่าท้องทำคลอด
- ปล่อยให้คลอดเอง (spontaneous delivery) ถ้าเด็กตายแล้ว
ภาคผนวก
ความหมาย
APH การตกเลือดก่อนคลอด หมายถึง การที่มีเลือดออกทางช่องคลอดหล้ง 20-22 สัปดาห์ (พ้นระยะแท้ง)
ความสำคัญ
APH เป็นภาวะฉุกเฉินทางสูติกรรมที่สำคัญอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อทั้งมารดาและทารก อาจจำเป็นต้องให้ทารกคลอดก่อนกำหนดและอัตราตายปริกำเนิดเพิ่มสูงขึ้นอย่างน้อย 4 เท่า อาจเป็นสาเหตุให้มารดาเสียชีวิตได้ และยังทำให้มีโอกาสตกเลือดหลังคลอดได้บ่อยขึ้นอีกด้วย
อุบัติการณ์
โดยทั่วไปพบได้ประมาณ ร้อยละ 3-5 ของการคลอด
สาเหตุ
แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์ และไม่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์ (obstetric causes และ non-obstetric causes) การพยากรณ์โรคแตกต่างกัน โดยรวมแล้วในกลุ่มที่เกี่ยวกับการตั้งครรภ์จะมีอันตรายต่อมารดาและทารกมากกว่า
กลุ่มที่ 1 สาเหตุที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์ (obstetric causes) ได้แก่
- รกเกาะต่ำ (placenta previa)
- รกลอกตัวก่อนกำหนด (abruptio placentae)
- สองภาวะนี้เป็นสาเหตุสำคัญของการตกเลือดก่อนคลอดที่พบได้ค่อนข้างบ่อย
- มดลูกแตก (rupture of the uterus)
- การแตกของ vasa previa
- การแตกของ marginal sinus บางตำราจัดไว้เป็นรกลอกตัวก่อนกำหนดชนิดหนึ่ง
- Excessive bloody show
- Placenta membranacea
- Placenta circumvallata
กลุ่มที่ 2 Non-obstetric causesได้แก่
- การแตกของเส้นเลือดขอดบริเวณช่องคลอดและปากช่องคลอด
- Polyp หรือ erosion ที่ปากมดลูก
- ปากมดลูกหรือผนังช่องคลอดอักเสบ
- การฉีกขาดหรือเป็นแผลที่ปากมดลูก หรือผนังช่องคลอด
- มะเร็งปากมดลูก
- โรคเลือด
- ไม่ทราบสาเหตุ
ภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด
ความหมาย
รกลอกตัวก่อนกำหนด หมายถึง ภาวะที่มีการลอกตัวของรกที่เกาะในตำแหน่งปกติ หลังอายุครรภ์ 20 สัปดาห์ จนถึงก่อนทารกคลอด (ในช่วงก่อนอายุครรภ์ 20 สัปดาห์ ถือว่าเป็นขั้นตอนของการแท้ง) รกอาจลอกตัวเพียงบางส่วน (partial) หรือลอกตัวทั้งหมด (total) ก็ได้
ความสำคัญ
เพิ่มอัตราการตายของทั้งมารดาและทารก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายรุนแรง ซึ่งมีภาวะ fetal distress และเกิด consumptive coagulopathy นอกจากนั้นสัมพันธ์กับการคลอดก่อนกำหนดและโตช้าในครรภ์(1)
อุบัติการณ์
พบได้ประมาณร้อยละ 0.5-1 และนับเป็นประมาณ 1 ใน 3 ของการตกเลือดก่อนคลอด(2;3)
สาเหตุและเหตุชวนให้เกิด
สาเหตุที่แท้จริง ไม่ทราบ แต่มีเหตุชวนให้เกิดดังต่อไปนี้(4) :-
- ภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์(5) : อุบัติการประมาณร้อยละ 24 ในผู้ป่วย eclampsia ร้อยละ10 ในรายความดันโลหิตสูงเรื้อรัง และร้อยละ 2-.3 preeclampsia
- การลดขนาดอย่างฉับพลันของมดลูกขนาดใหญ่ : เช่น ครรภ์แฝด(3;6) ครรภ์แฝดน้ำที่ถุงน้ำคร่ำแตกแล้วน้ำคร่ำไหลออกมาอย่างรวดเร็ว
- อันตรายบาดเจ็บต่อมดลูก เช่น แรงกระแทกทางหน้าท้อง (trauma)(7) หัตถการหมุนกลับตัวเด็กทางหน้าท้อง (external cephalic version) หรือเจาะเลือดสายสะดือทารก (cordocentesis)
- น้ำคร่ำแตกในครรภ์ก่อนกำหนด(8;9)
- ความผิดปกติเรื้อรังที่รก พบว่าทารกที่โตช้าและคลอดก่อนกำหนดเกิดขึ้นได้บ่อยในรายที่สุดท้ายมีภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด(10;11)
- ภาวะ thrombophillia เช่น factor V Leiden mutation(12)
- สารปัจจัยเสี่ยงบางอย่าง เช่น แอลกอฮอล์ และบุหรี่(13;14) โคเคน(15)
- จำนวนครั้งของการตั้งครรภ์ (parity) พบบ่อยขึ้นในครรภ์หลัง(16)
- มีประวัติรกลอกตัวก่อนกำหนดในครรภ์ก่อน มีโอกาสเป็นซ้ำสูงถึงประมาณร้อยละ 10(4)
การวินิจฉัย
โดยส่วนใหญ่อาศัยลักษณะทางคลินิก ซึ่งมีลักษณะคลาสสิคคือ เลือดออกทางช่องคลอด (แต่มักไม่สัมพันธ์กับอาการช็อคที่รุนแรง) มดลูกหดรัดตัวมาก หรือแข็งเกร็ง อาจกดเจ็บ การตรวจอัลตราซาวด์อาจช่วยสนับสนุนในบางราย คือเห็นเลือดหลังรกหรือ chorion ประมาณร้อยละ 80(17) แต่บทบาทสำคัญคือช่วยแยกภาวะรกเกาะต่ำได้อย่างดี
รกเกาะต่ำ
ความหมาย :
รกเกาะต่ำ หมายถึง ภาวะที่รกเกาะต่ำกว่าปกติ ซึ่งแบ่งได้ 4 ชนิด หรือระดับ(18) คือ
- Low-lying placenta หมายถึงรกเกาะต่ำที่ขอบรกอยู่ที่ lower segment และห่างจาก internal os อย่างน้อย 2 ซม. (วัดโดยอัลตราซาวด์)(19)
- Marginal placenta previa หมายถึงรกเกาะต่ำชนิดที่ขอบรกเกาะใกล้ internal os แต่ไม่คลุม os โดยที่ส่วนต่ำสุดของชายรกห่างจาก os ไม่ถึง 2 ซม.
- Partial placenta previa หมายถึงรกเกาะต่ำที่ขอบรกคลุมปิด internal os เพียงบางส่วน
- Complet placenta previa หมายถึงรกเกาะต่ำที่ขอบรคลุมปิด internal os ทั้งหมด
อุบัติการ :
ประมาณ 1:200 ของการคลอด
ปัจจัยส่งเสริม
- อายุมารดาเกิน 40 ปี(20)
- ประวัติเคยเป็นในครรภ์ก่อน (โอกาสเป็นซ้ำร้อยละ 4-8(21))
- ครรภ์หลัง (พบได้ร้อยละ 5 ในครรภ์ที่ 5 ขึ้นไป เทียบกับ 0.2 ในครรภ์แรก)(21)
- การผ่าท้องทำคลอดในครรภ์ก่อน(22;23) พบได้ร้อยละ 10 ในรายที่ผ่าตัดคลอดเกิน 4 ครั้ง(22)
- การขูดมดลูกมาก่อน(23)
- การสูบบุหรี่มาก ๆ(24)
- รกแผ่กว้างผิดปกติ เช่น placenta membranacea และรกในครรภ์แฝด
การวินิจฉัย
อาศัยลักษณะทางคลินิกชี้นำ (มักไม่เจ็บครรภ์ เลือดออกครั้งต่อไปรุนแรงขึ้น หัวเด็กไม่ลง ทารกอาจอยู่ในท่าผิดปกติ เช่น ท่าขวาง) และยืนยันด้วยอัลตราซาวด์ทางซึ่งมีถูกต้องมากกว่าร้อยละ 95(25;26) อัลตราซาวด์ทางช่องคลอดมีความปลอดภัย มีความถูกต้องมากกว่าทางหน้าท้อง(27)
การตรวจภายใน เป็นวิธีที่วินิจฉัยโรคได้แน่นอน แต่ต้องทำการตรวจในห้องผ่าตัดโดยเตรียมผู้ป่วยให้พร้อมที่จะทำการผ่าตัดได้ทันทีที่วินิจฉัย ซึ่งเรียกการตรวจแบบนี้ว่า double setup และจะทำเมื่อตัดสินใจให้การรักษาแบบ active เนื่องจากการตรวจภายในแม้จะไม่รุนแรงแต่สามารถทำให้เกิดการตกเลือดมากได้ ในรายที่ทราบตำแหน่งรกเกาะแล้วจะไม่มีความจำเป็นต้องการตรวจ double set up
หลักฐานทางวิชาการ
- ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุที่อาจนำไปสู่ภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนดควรตรวจ continuous fetal monitoring 4-6 ชั่วโมง ถ้าปกติดี ไม่มีเลือดออก และไม่มีการแข็งตัวของมดลูก ก็จะให้ความมั่นใจได้ว่าโอกาสเกิดรกลอกตัวน้อยมาก(28)
- การรักษารกลอกตัวก่อนกำหนดแบบเฝ้าสังเกต อาจพิจารณาทำเพียงรายที่อายุครรภ์น้อย ไม่รุนแรง ไม่เฉียบพลัน เลือดหยุดแล้ว ไม่มีภาวะแทรกซ้อนใด ๆ อาจยืดอายุครรภ์ได้อย่างปลอดภัย(29)
- ประมาณร้อยละ 5 ของสตรีตั้งครรภ์จะพบว่ามีรกเกาะต่ำขณะอายุครรภ์ 10-20 สัปดาห์(30;31) ซึ่งร้อยละ 90 จะไม่เกาะต่ำในขณะคลอด (ลดลงเหลือเพียงร้อยละ 0.5) การวินิจฉัยหลังกึ่งการตั้งครรภ์ รายที่เคยผ่าตัดคลอดมาก่อน หรือรายที่รกคลุม os โดยสมบูรณ์จะมีโอกาสเกาะต่ำไมเปลี่ยนแปลงสูงกว่า(32)
- ในกรณีฉุกเฉินเนื่องจากระบบไหลเวียนเลือดไม่คงทีควรพิจาณาการดมยาสลบสำหรับการผ่าตัด แต่ถ้าสัญญาณชีพปกติดีควรพิจารณาให้ยาชาทางไขสันหลัง(33) (แต่ต้องระวังความดันโลหิตต่ำด้วย)
- ภาวะรกเกาะต่ำที่เลือดหยุดแล้วและไม่มีภาวะแทรกซ้อนใด ๆ อาจเลือกให้การรักษาแบบผู้ป่วยนอกได้ ถ้าผู้ป่วยเข้าใจดี และพร้อมที่จะได้รับการดูแลแบบฉุกเฉิน(34;35)
- การยุติการตั้งครรภ์ที่มีรกเกาะต่ำในไตรมาสที่สองสามารถกระทำได้อย่างปลอดภัยด้วยวิธีการเหมือนรายที่ไม่มีรกเกาะต่ำ แต่ต้องระวังการเสียเลือดมากกว่าปกติ(21;36;37)
- การยับยั้งการเจ็บครรภ์คลอดในกรณีรกเกาะต่ำ อาจทำได้ เช่น การให้ ritodrine(38) แต่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากโดยทฤษฎีอาจทำให้เลือดออกได้มากขึ้น
- การยุติการตั้งครรภ์ที่มีรกเกาะต่ำในไตรมาสที่สองด้วยพรอสตาแกลนดินส์ ก็อาจทำได้อย่างปลอดภัย ภายใต้การเตรียมพร้อมของการให้เลือด(39) การทำให้ทารกเสียชีวิตก่อน (feticide) ก็มีส่วนทำให้การเสียเลือดน้อยลง(40)
- vasa previa : ถ้าพยายามตรวจหาจะสามารถวินิจฉัยได้ดีด้วยการตรวจอัลตราซาวด์ทางช่องคลอด และมีผลให้พยากรณ์ดีมากด้วยการวางแผนการผ่าตัดคลอดตอนใกล้ครบกำหนด(21;41-44)
เอกสารอ้างอิง
- Ananth CV, Berkowitz GS, Savitz DA, Lapinski RH. Placental abruption and adverse perinatal outcomes. JAMA 1999 Nov 3;282(17):1646-51.
- Abdella TN, Sibai BM, Hays JM, Jr., Anderson GD. Relationship of hypertensive disease to abruptio placentae. Obstet Gynecol 1984 Mar;63(3):365-70.
- Karegard M, Gennser G. Incidence and recurrence rate of abruptio placentae in Sweden. Obstet Gynecol 1986 Apr;67(4):523-8.
- Tikkanen M, Nuutila M, Hiilesmaa V, Paavonen J, Ylikorkala O. Prepregnancy risk factors for placental abruption. Acta Obstet Gynecol Scand 2006;85(1):40-4.
- Pritchard JA, Mason R, Corley M, Pritchard S. Genesis of severe placental abruption. Am J Obstet Gynecol 1970 Sep 1;108(1):22-7.
- Spellacy WN, Handler A, Ferre CD. A case-control study of 1253 twin pregnancies from a 1982-1987 perinatal data base. Obstet Gynecol 1990 Feb;75(2):168-71.
- Kettel LM, Branch DW, Scott JR. Occult placental abruption after maternal trauma. Obstet Gynecol 1988 Mar;71(3 Pt 2):449-53.
- Vintzileos AM, Campbell WA, Nochimson DJ, Weinbaum PJ. Preterm premature rupture of the membranes: a risk factor for the development of abruptio placentae. Am J Obstet Gynecol 1987 May;156(5):1235-8.
- Major CA, de Veciana M, Lewis DF, Morgan MA. Preterm premature rupture of membranes and abruptio placentae: is there an association between these pregnancy complications? Am J Obstet Gynecol 1995 Feb;172(2 Pt 1):672-6.
- Salafia CM, Lopez-Zeno JA, Sherer DM, Whittington SS, Minior VK, Vintzileos AM. Histologic evidence of old intrauterine bleeding is more frequent in prematurity. Am J Obstet Gynecol 1995 Oct;173(4):1065-70.
- Rasmussen S, Irgens LM, Bergsjo P, Dalaker K. The occurrence of placental abruption in Norway 1967-1991. Acta Obstet Gynecol Scand 1996 Mar;75(3):222-8.
- Prochazka M, Happach C, Marsal K, Dahlback B, Lindqvist PG. Factor V Leiden in pregnancies complicated by placental abruption. BJOG 2003 May;110(5):462-6.
- Ananth CV, Cnattingius S. Influence of maternal smoking on placental abruption in successive pregnancies: a population-based prospective cohort study in Sweden. Am J Epidemiol 2007 Aug 1;166(3):289-95.
- Tikkanen M, Nuutila M, Hiilesmaa V, Paavonen J, Ylikorkala O. Clinical presentation and risk factors of placental abruption. Acta Obstet Gynecol Scand 2006;85(6):700-5.
- Hoskins IA, Friedman DM, Frieden FJ, Ordorica SA, Young BK. Relationship between antepartum cocaine abuse, abnormal umbilical artery Doppler velocimetry, and placental abruption. Obstet Gynecol 1991 Aug;78(2):279-82.
- Ananth CV, Wilcox AJ, Savitz DA, Bowes WA, Jr., Luther ER. Effect of maternal age and parity on the risk of uteroplacental bleeding disorders in pregnancy. Obstet Gynecol 1996 Oct;88(4 Pt 1):511-6.
- Nyberg DA, Cyr DR, Mack LA, Wilson DA, Shuman WP. Sonographic spectrum of placental abruption. AJR Am J Roentgenol 1987 Jan;148(1):161-4.
- Oyelese Y, Smulian JC. Placenta previa, placenta accreta, and vasa previa. Obstet Gynecol 2006 Apr;107(4):927-41.
- Oppenheimer LW, Farine D, Ritchie JW, Lewinsky RM, Telford J, Fairbanks LA. What is a low-lying placenta? Am J Obstet Gynecol 1991 Oct;165(4 Pt 1):1036-8.
- Gilbert WM, Nesbitt TS, Danielsen B. Childbearing beyond age 40: pregnancy outcome in 24,032 cases. Obstet Gynecol 1999 Jan;93(1):9-14.
- Lavery JP. Placenta previa. Clin Obstet Gynecol 1990 Sep;33(3):414-21.
- Clark SL, Koonings PP, Phelan JP. Placenta previa/accreta and prior cesarean section. Obstet Gynecol 1985 Jul;66(1):89-92.
- Rose GL, Chapman MG. Aetiological factors in placenta praevia–a case controlled study. Br J Obstet Gynaecol 1986 Jun;93(6):586-8.
- Meyer MB, Tonascia JA. Maternal smoking, pregnancy complications, and perinatal mortality. Am J Obstet Gynecol 1977 Jul 1;128(5):494-502.
- Besinger RE, Moniak CW, Paskiewicz LS, Fisher SG, Tomich PG. The effect of tocolytic use in the management of symptomatic placenta previa. Am J Obstet Gynecol 1995 Jun;172(6):1770-5.
- Timor-Tritsch IE, Monteagudo A. Diagnosis of placenta previa by transvaginal sonography. Ann Med 1993 Jun;25(3):279-83.
- Farine D, Peisner DB, Timor-Tritsch IE. Placenta previa–is the traditional diagnostic approach satisfactory? J Clin Ultrasound 1990 May;18(4):328-30.
- Dahmus MA, Sibai BM. Blunt abdominal trauma: are there any predictive factors for abruptio placentae or maternal-fetal distress? Am J Obstet Gynecol 1993 Oct;169(4):1054-9.
- Sholl JS. Abruptio placentae: clinical management in nonacute cases. Am J Obstet Gynecol 1987 Jan;156(1):40-51.
- Mouer JR. Placenta previa: antepartum conservative management, inpatient versus outpatient. Am J Obstet Gynecol 1994 Jun;170(6):1683-5.
- Cotton DB, Read JA, Paul RH, Quilligan EJ. The conservative aggressive management of placenta previa. Am J Obstet Gynecol 1980 Jul 15;137(6):687-95.
- Dashe JS, McIntire DD, Ramus RM, Santos-Ramos R, Twickler DM. Persistence of placenta previa according to gestational age at ultrasound detection. Obstet Gynecol 2002 May;99(5 Pt 1):692-7.
- Frederiksen MC, Glassenberg R, Stika CS. Placenta previa: a 22-year analysis. Am J Obstet Gynecol 1999 Jun;180(6 Pt 1):1432-7.
- Wing DA, Paul RH, Millar LK. Management of the symptomatic placenta previa: a randomized, controlled trial of inpatient versus outpatient expectant management. Am J Obstet Gynecol 1996 Oct;175(4 Pt 1):806-11.
- Love CD, Fernando KJ, Sargent L, Hughes RG. Major placenta praevia should not preclude out-patient management. Eur J Obstet Gynecol Reprod Biol 2004 Nov 10;117(1):24-9.
- Halperin R, Vaknin Z, Langer R, Bukovsky I, Schneider D. Late midtrimester pregnancy termination in the presence of placenta previa. J Reprod Med 2003 Mar;48(3):175-8.
- Thomas AG, Alvarez M, Friedman F, Jr., Brodman ML, Kim J, Lockwood C. The effect of placenta previa on blood loss in second-trimester pregnancy termination. Obstet Gynecol 1994 Jul;84(1):58-60.
- Sharma A, Suri V, Gupta I. Tocolytic therapy in conservative management of symptomatic placenta previa. Int J Gynaecol Obstet 2004 Feb;84(2):109-13.
- Nakayama D, Masuzaki H, Miura K, Hiraki K, Yoshimura S, Ishimaru T. Effect of placenta previa on blood loss in second-trimester abortion by labor induction using gemeprost. Contraception 2007 Mar;75(3):238-40.
- Ruano R, Dumez Y, Cabrol D, Dommergues M. Second- and third-trimester therapeutic terminations of pregnancy in cases with complete placenta previa–does feticide decrease postdelivery maternal hemorrhage? Fetal Diagn Ther 2004 Nov;19(6):475-8.
- Sepulveda W, Rojas I, Robert JA, Schnapp C, Alcalde JL. Prenatal detection of velamentous insertion of the umbilical cord: a prospective color Doppler ultrasound study. Ultrasound Obstet Gynecol 2003 Jun;21(6):564-9.
- Catanzarite V, Maida C, Thomas W, Mendoza A, Stanco L, Piacquadio KM. Prenatal sonographic diagnosis of vasa previa: ultrasound findings and obstetric outcome in ten cases. Ultrasound Obstet Gynecol 2001 Aug;18(2):109-15.
- Oyelese Y, Catanzarite V, Prefumo F, Lashley S, Schachter M, Tovbin Y, et al. Vasa previa: the impact of prenatal diagnosis on outcomes. Obstet Gynecol 2004 May;103(5 Pt 1):937-42.
- Baulies S, Maiz N, Munoz A, Torrents M, Echevarria M, Serra B. Prenatal ultrasound diagnosis of vasa praevia and analysis of risk factors. Prenat Diagn 2007 Jul;27(7):595-9.