Amnor-Svast Svastivatana

ศ. นพ. อำนอร์สวัสดิ์ สวัสดิวัฒน์

หัวหน้าภาควิชาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
พ.ศ. 2504 – 2518

(ศ. พญ. ดวงเดือน คงศักดิ์ รักษาการแทนช่วง 2504-2507 เนื่องจาก อ. ท่านฯ ไปศึกษาต่อต่างประเทศ)

Amnor-Svast Svastivatana

ศาสตราจารย์ นายแพทย์ หม่อมเจ้าอำนอร์สวัสดิ์ สวัสดิวัตน์

พระประวัติ

ศาสตราจารย์ นายแพทย์ หม่อมเจ้าอำนอร์สวัสดิ์ สวัสดิวัตน์ มีฐานันดรศักดิ์ระดับเจ้านายชั้นอนุวงศ์ เป็นพระโอรสองค์ 41 ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ กรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์ (พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ประสูติแต่สมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา, ต้นราชสกุลสวัสดิวัตน์) กับหม่อมเร่ สวัสดิวัตน์ ณ อยุธยา (สกุลเดิม: บุนนาค) ประสูติเมื่อวันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ.2466 มีพระพี่น้องร่วมหม่อมมารดา 10 องค์ และเป็นพระอนุชาร่วมพระชนกของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7

ศาสตราจารย์ นายแพทย์ หม่อมเจ้าอำนอร์สวัสดิ์ สวัสดิวัตน์ เสกสมรสกับหม่อมฉลวย สวัสดิวัตน์ ณ อยุธยา (สกุลเดิม: เอกรัตน์) มีบุตร-ธิดาด้วยกันสองคน

  1. หม่อมราชวงศ์พันธุ์เทพสวัสดิ์ สวัสดิวัตน์
  2. หม่อมราชวงศ์จิตติพัณณา สวัสดิวัตน์

ศาสตราจารย์ นายแพทย์ หม่อมเจ้าอำนอร์สวัสดิ์ สวัสดิวัตน์ สิ้นชีพิตักษัย เมื่อวันศุกร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2429 พระชันษาได้ 63 ปี

การศึกษาและการทรงงาน

หม่อมเจ้าอำนอร์สวัสดิ์ สวัสดิวัตน์ ทรงเข้ารับการศึกษาในระดับชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนต้น ณ โรงเรียนเซนต์คาเบรียล ในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายทรงเข้าศึกษาต่อ ณ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา (รุ่นที่ 3 พ.ศ. 2483) ในระดับชั้นอุดมศึกษาทรงศึกษาต่อที่ โรงเรียนเตรียมแพทย์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และในอีก 2 ปีต่อมา ทรงสอบเข้าเพื่อศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์และศิริราชพยาบาล (ขณะนั้น) โดยทรงเป็นแพทย์ศิริราชรุ่นที่ 54 เมื่อสำเร็จการศึกษา ทรงรับราชการแพทย์เป็นเวลา 1 ปี (พ.ศ.2491-2492) ก่อนจะเสด็จไปศึกษาต่อในด้านเวชศาสตร์เขตร้อน ณ เมืองดับลิน, ไอร์แลนด์ เมื่อสำเร็จการศึกษา ทรงกลับมารับราชการแพทย์ ณ คณะแพทยศาสตร์เชียงใหม่ จากนั้นเสด็จไปศึกษาต่อที่ประเทศสหรัฐอเมริกาในเป็นเวลาประมาณ 2 ปี จึงกลับมารับตำแหน่งหัวหน้าภาควิชาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา ในปี พ.ศ. 2507 ทรงดำรงตำแหน่งหัวหน้าภาควิชา จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. 2518 ต่อมาทรงลาออกจากราชการ ก่อนถึงเวลาเกษียณอายุราชการเพียงเล็กน้อย

อาจารย์ท่านฯ กับภาควิชาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา

ภาควิชาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา ได้รับการก่อตั้งขึ้นมาพร้อมกับการก่อตั้งคณะแพทยศาสตร์ เชียงใหม่ โดยมีหัวหน้าภาควิชาท่านแรก คือ ศ. นพ. หม่อมเจ้าอำนอร์สวัสดิ์ สวัสดิวัตน์ เมื่อได้รับการแต่งตั้งท่านต้องเดินทางไปศึกษาต่อที่ประเทศสหรัฐอเมริกา จึงได้มีการแต่งตั้ง ศ. พญ. ดวงเดือน คงศักดิ์ จากมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ ทำหน้าที่รักษาการแทนหัวหน้าภาควิชาไปก่อน (พ.ศ. 2504-2507) และมี ศ. นพ. วราวุธ สุมาวงศ์ ศ. พญ. เพ็ญแข พิทักษ์ไพรวัลย์ และ ศ. พญ. พวงเพ็ญ ริมดุสิต เดินทางมาช่วยปฏิบัติงานด้วย ร่วมกับ รศ. พญ. สุรีย์ สิมารักษ์ และ นพ. สิริพงศ์ วินิจฉัยกุล

ในปี พ.ศ. 2504 ภาควิชาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา เริ่มมีแพทย์ประจำบ้าน โดยแพทย์ประจำบ้าน 2 ท่านแรกของภาควิชา คือ รศ.นพ. กำจัด สวัสดิโอ และ ศ. พญ. พวงเพ็ญ ริมดุสิต ซึ่งในปีนั้นโรงพยาบาลมีแพทย์ประจำบ้านทั้งหมดรวม 8 ท่าน แต่ในระยะแรกแพทย์ประจำบ้านของภาควิชาฯ จะได้รับวุฒิบัตรทางด้านสูติ-นรีเวช โดยไม่ต้องมีการสอบ ส่วนการสอบวุฒิบัตร เริ่มมีครั้งแรกในปี พ.ศ. 2514 แพทย์ที่สอบรุ่นแรกคือ ผศ.นพ. วิโรจน์ สหพงษ์ และ รศ. พญ.สังวาลย์ รักเผ่า ซึ่งเป็นแพทย์เชียงใหม่รุ่นที่ 7

เมื่อ ศ.นพ. หม่อมเจ้าอำนอร์สวัสดิ์ สวัสดิวัตน์ กลับจากประเทศสหรัฐอเมริกา ในปี พ.ศ. 2507 และได้เริ่มปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าภาควิชา อาจารย์ทั้ง 3 ท่านจากมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์จึงเดินทางกลับ แต่ภาควิชาฯก็ได้อาจารย์เพิ่มมาใหม ่คือ ศ.นพ.กอสิน อมาตยกุล ซึ่งย้ายมาจากสถาบันเซนต์หลุยส์ และในปี พ.ศ. 2507 เดียวกันนี้ รศ.นพ.กำจัด สวัสดิโอ ได้รับทุนไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยอิลลินอยด์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ทางภาควิชาก็ได้รับความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยอิลลินอยด์ ส่ง Dr. Zelenik ซึ่งมาทำงานอยู่ที่สถาบันเซนต์หลุยส์ ให้มาเป็นอาจารย์พิเศษช่วยสอนที่ภาควิชาอยู่เป็นระยะเวลาประมาณ 2 ปี

สร้างภาคฯสร้างคน

ขณะที่ดำรงตำแหน่งหัวหน้าภาคฯ อ.ท่านฯได้ทรงบุกเบิกก่อร่างสร้างภาควิชาในยุคที่เริ่มต้นจากศูนย์ เป็นจุดต้นกำเนิดให้เติบโตต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน อ.ท่านฯ เปรียบเสมือนแม่ทัพภาควิชาสูติฯยุคต้น ทำการรวบรวมสรรพกำลังขุนพลสร้างภาคฯให้เป็นปึกแผ่น เช่น อ. วราวุธ สุมาวงศ์ อ. ศุภร ศิลปิศรโกศล อ. สุรีย์ สิมารักษ์ อ. กอสิน อมาตยกุล เป็นต้น เพื่อให้บริการแก่ชุมชน และสร้างคนให้ภาคแข็งแกร่ง เช่น อ. กำจัด อ. สังวาล อ.วิโรจน์ และอีกมากมาย ด้วยความทุ่มเท อุตสาหะ ท่ามกลางความทุรกันดารของภูมิภาค ขีดจำกัดของศักยภาพโรงพยาบาล และทรัพยากรทางการแพทย์ ประวัติศาสตร์หน้านั้นได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับอนุชนในรุ่นต่อมาอย่างไม่มีวันสิ้นสุด

ประวัติศาสตร์ในวงวิชาการ

ในยุคเริ่มต้นของภาควิชา นอกจากงานบริการทางสูติกรรม และการเรียนการสอนนักศึกษาที่เป็นงานหลัก เช่นเดียวกับทุกภาควิชาฯ แล้ว อ.ท่านฯ ทรงศึกษาค้นคว้าปัญหาเฉพาะถิ่นในยุคนั้นด้วยการรายงานผู้ป่วยน่าสนใจจำนวนมาก โดยเฉพาอย่างยิ่ง amoebic vaginitis ซึ่งพบได้บ่อยในถิ่นแถบนี้

ในสมัยนั้น การคลอดส่วนมากทำโดยหมอตำแย และมีส่วนหนึ่งที่มีปัญหาการคลอดยาก หรือมีภาวะแทรกซ้อนที่ได้รับการดูแลล่าช้า การคลอดติดขัดหรือ prolonged labor มีอุบัติการณ์สูง ผลที่ตามมาพบว่ามี V-V fistula ตามหลังการคลอดสูง อ.ท่านฯ ได้ทำการผ่าตัดซ่อม V-V fistula จำนวนมาก ทั้งชนเผ่า และชาวพม่า หลายรายมีรูรั่วขนาดใหญ่มากจนต้องเย็บซ่อมแล้วซ่อมอีกหลายครั้งให้ขนาดเล็กลง ซึ่งทำการเย็บซ่อมในท่าผู้ป่วยนอนคว่ำ มีรายหนึ่งที่ต้องผ่าตัดเย็บซ่อมถึง 11 ครั้ง ถึงจะปิดสนิท ซึ่งการเย็บซ่อม VV fistula ถือเป็นหัตการที่มีชื่อเสียงมากของอ.ท่านฯ โดยมีอ.ชัยรัตน์ทำการสืบทอดการทำหัตถการนี้จากอ.ท่านฯสู่ชนรุ่นต่อมา

การคลอดอย่างยากเป็นประสบการณ์ของอาจารย์แพทย์ยุคก่อนที่พบเห็นได้บ่อยมาก ประวัติศาสตร์ของเราได้จดจำถึงอ.ท่านฯ ในการทำคลอดด้วยคีมนานาชนิด การหมุนกลับท่าเด็กที่เป็นท่าขวางให้เป็นท่าหัว หมุนกลับในมดลูก (internal podalic version) ภาพการคลอดท่าขวางที่แขนโผล่ออกมานอกช่องคลอดและอ.ท่านฯได้ทำการหมุนกลับภายในให้คลอดได้อย่างปลอดภัย ยังคงเป็นภาพติดตาที่ถ่ายทอดสู่รุ่นลูกหลานโดยไม่จำเป็นต้องมีภาพบันทึกใด ๆ

อ.ท่านฯ ถือเป็นต้นตำรับของ difficult vaginal operative births เช่น การทำหัตถการทำลายเด็กที่เสียชีวิตแล้วซึ่งเกิดจากการคลอดติดขัดเป็นเวลานานที่ถูกส่งตัวมาล่าช้า การใช้ cephalotribe บีบ Simpson’s perforator เจาะ หรือการทำ decapitation ซึ่งไม่ได้เห็นกันแล้วในปัจจุบัน แต่คือทางรอดที่ปลอดภัยด้วยทักษะระดับสูง เพื่อแก้ไขปัญหาการคลอดที่เลวร้ายแบบไม่มีทางเลือกในสมัยนั้น

อีกหนึ่งความทรงจำของบัณฑิตมหาวิทยาลัยเชียงใหม่

เมื่อมีการก่อตั้งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คณะแพทยศาสตร์เป็นหนึ่งในคณะที่เป็นปึกแผ่น ก้าวหน้า อย่างรวดเร็วในยุคต้น อ.ท่าน นับเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญของคณะมาตั้งแต่เริ่มต้น ทรงมีความตั้งใจจริงและทรงปฏิบัติงานอย่างเอาจริงเอาจัง ทรงรับหน้าที่เป็นหัวหน้าภาควิชาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยามาตั้งแต่เริ่มแรก ไม่เพียงแต่ความเป็นครู และแพทย์ที่ดีเยี่ยมของชาวสวนดอกเท่านั้น ท่านยังทรงเป็นผู้ที่ชาวมหาวิทยาลัยเชียงใหม่รู้จักดี โดยที่ท่านได้ทรงเป็นหัวหน้าฝ่ายพิธีการในงานรับพระราชทานปริญญาบัตรประจำปีของมหาวิทยาลัยตั้งแต่แรก และได้ทรงทำหน้าที่ติดต่อกันมาหลายปี ท่านทรงรับหน้าที่ในการจัดฝึกซ้อมบัณฑิต กำหนดพิธีการต่าง ๆ ตลอดจนทรงทำหน้าที่เป็นผู้ทูลเกล้าฯ ถวายปริญญาบัตรต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพื่อพระราชทานต่อบัณฑิต บัณฑิตทุกรุ่นในยุคโน้นจะจำท่านได้ดี

เครื่องราชอิสริยาภรณ์

  • 5 ธันวาคม 2498 เบญจมาภรณ์มงกุฎไทย
  • 5 ธันวาคม 2500 จัตุรถาภรณ์ช้างเผือก
  • 5 ธันวาคม 2510 ตริตาภรณ์มงกุฎไทย
  • 5 ธันวาคม 2512 ทวีติยาภรณ์มงกุฎไทย
  • 5 ธันวาคม 2518 ทวีติยาภรณ์ช้างเผือก
  • 5 ธันวาคม 2521 ประถมาภรณ์มงกุฎไทย, เหรียญจักรพรรดิมาลา
  • 5 ธันวาคม 2524 ประถมาภรณ์ช้างเผือก

ที่มาของข้อมูล

ม.ร.ว. จิตติพัณณา สวัสดิวัตน์
งานบริการงานบุคคล คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
คำบอกเล่าจากภาพความทรงจำของอาจารย์อาวุโส และเอกสารเก่า ๆ ในภาควิชาฯ

Read More

Fetal Growth Restriction

ทันยุคกับทารกโตช้าในครรภ์
Update in Fetal Growth Restriction

ธีระ ทองสง


คำจำกัดความ

ทารกโตช้าในครรภ์ (fetal growth restriction; FGR) ส่วนมากถือเอาเกณฑ์ที่ทารกมีน้ำหนักต่ำกว่าเปอร์เซ็นไทล์ที่ 10(1, 2) ซึ่งตามคำจำกัดความนี้ควรจะเป็น small-for-gestational age; SGA มากกว่าบ่งชี้ถึงขนาดทารกมากกว่าความผิดปกติในการเติบโต ซึ่งควรเน้นถึงภาวะทุพโภชนาการ (malnutrition)

ทารกที่มีขนาดเล็กกว่าอายุครรภ์ (SGA) แบ่งออกได้เป็นสามกลุ่มตามสาเหตุคือ

  1. ทารกพันธุ์เล็ก หมายถึงทารกขนาดเล็กตามธรรมชาติ (constitutionally small) เนื่องจากมารดาตัวเล็ก หรือปัจจัยทางพันธุกรรม แต่มิได้มีปัญหาเนื่องจากการเติบโตผิดปกติ
  2. ทารกเป็นโรค (disorders / anomaly) เช่น trisomy 18 หรือติดเชื้อไซโตเมกาโลไวรัส (CMV) เป็นต้น
  3. ทารกขาดอาหาร หรือเจริญเติบโตช้าในครรภ์ (fetal growth restriction; FGR) เน้นถึงภาวะทุพโภชนาการเป็นหลัก (เด็กผอม) ซึ่งสัมพันธ์กับการทำงานของรกไม่ดี (placental insufficiency) โดยมิได้คำนึงถึงเพียงขนาดของทารกเพียงอย่างเดียว

ความสำคัญ

ทารกตัวเล็กโดยรวมมีความเสี่ยงต่อการตายปริกำเนิดและอัตราทุพพลภาพสูงกว่าทารกที่น้ำหนักเหมาะสมตามอายุครรภ์ (1-4) เช่น การศึกษาใหญ่แบบ cohort ในทารกไม่พิการกว่า 90,000 ราย พบว่า FGR ที่ไม่ได้รับการวินิจฉัยเป็นปัจจัยเสี่ยงของการเสียชีวิตที่พบได้มากที่สุด โดยกลุ่มนี้มีอัตราการเสียชีวิตถึง 19.8 (ในขณะที่อัตราการเสียชีวิตรวม 4.2) ปัญหาระยะยาวทางด้านพัฒนาการทางสมองด้วย คะแนนไอคิวต่ำกว่าผู้ใหญ่ทั่วไป แม้จะมีการให้สเตียรอยด์ทั้งก่อนและหลังคลอด แต่ทารก SGA ที่อายุครรภ์อ่อนมากยังคงมีปัญหากลุ่มอาการหายใจลำบากในทารกแรกเกิด (respiratory distress syndrome) มากอยู่ นอกจากนี้ยังมีหลักฐานที่น่าเชื่อว่าเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ยังมีความเสี่ยงต่อโรคทางระบบหัวใจและหลอดเลือด หรือโรคไตเรื้อรังจะพบได้บ่อยขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับ SGA (1, 2)

แบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่ม คือ

1. สาเหตุจากตัวทารกเอง (fetal causes)มักเป็นชนิดsymmetrical FGR หรือตัวเล็กทุกส่วน

  • การติดเชื้อในครรภ์ เช่น cytomegalovirus, rubella, toxoplasma gondiiวัณโรค listeriosisการติดเชื้อมาเลเรียในประเทศแถบตะวันออก เพิ่มโอกาส FGR ได้มาก
  • ความผิดปกติของโครโมโซม เช่นtrisomy 18,trisomy 13, trisomy 22 และ triploidy (ต้นกำเนิดจากฝ่ายมารดา)(5)
  • ความพิการโดยกำเนิด เช่น หัวใจพิการแต่กำเนิดหรือ gastroschisis เป็นต้น

2.สาเหตุจากมารดา (maternal causes)เป็น extrinsic factors มักสัมพันธ์กับ asymmetrical FGR

  • โรคทางหลอดเลือดในมารดา เช่น ความดันโลหิตสูงเรื้อรัง ความดันสูงจากการตั้งครรภ์ โรคทางคอลลาเจน โรคหลอดเลือดจากเบาหวาน มีความสัมพันธ์ผกผันระหว่างการเติบโตของทารกกับความดันโลหิตของมารดา โดยเฉพาะอย่างยิ่งความดันโลหิตสูงที่เป็นสาเหตุของ preclampsia (6)
  • ภาวะขาดอาหาร เช่น ทุพโภชนาการ หรือมารดามีโรคเรื้อรังที่ทำให้การดูดซึมสารอาหารผิดปกติไป เช่น แผลเรื้อรังในทางเดินอาหาร หรือการตั้งครรภ์ที่ติดกันมากเกินไป เป็นต้น
  • มารดาตัวเล็ก (BMI ต่ำ) หรือมารดาที่น้ำหนักขึ้นน้อย ซึ่งมารดาไม่สามารถปรับตัวเพิ่มปริมาตรเลือดขณะตั้งครรภ์ได้เท่าที่ควร
  • ภาวะโลหิตจางรุนแรง เช่น beta-thalassemia/HbE disease หรือ HbH disease เป็นต้น
  • ภาวะขาดออกซิเจนเรื้อรัง เช่น อยู่ในถิ่นภูมิประเทศสูง หรือมารดามี cyanosis จากโรคหัวใจ
  • โรคไตบางชนิดที่ทำให้เกิดความดันโลหิตสูง หรือมีการสูญเสียโปรตีน
  • ยาและสารอันตราย เช่น บุหรี่ แอลกอฮอล์ โคเคน phenytoin trimethadioneเป็นต้น
  • ครรภ์แฝด มักทำให้มวลรกต่อทารกแต่ละคนลดลง ทำให้สารอาหารที่ไปยังทารกแต่ละคนลดลง
  • Antiphospholipid antibody syndrome ทำให้เกิดการจับตัวกันของเกล็ดเลือด และมีลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดเล็ก ๆ โดยเฉพาะในรก

3. สาเหตุจากรก (placental causes) และสายสะดือ ทำให้การแลกเปลี่ยนสารอาหารที่รกลดลง ได้แก่

  • รกเสื่อมสภาพหรือขาดเลือด (placental infarction) ลิ่มเลือดที่รก อักเสบ หรือโครงสร้างหลอดเลือดของรกและทารกพัฒนาไม่ดีตั้งแต่ครรภ์ระยะแรก ดังที่พบว่าระดับ sFlt-1 สูง ซึ่งสะท้อนถึงพัฒนาการรกไม่ดี จะสัมพันธ์กับ FGR ซึ่งอาจสัมพันธ์กับโรคในมารดาอีกต่อหนึ่ง
  • รกเกาะต่ำ หรือรกลอกตัวก่อนกำหนดเป็นหย่อม ๆ
  • chorioangioma
  • รกผิดปกติ เช่นcircumvallate placenta และ marginal หรือ velamentous insertion ของสายสะดือ
  • สายสะดือผูกเป็นปม (true knot) ก็สามารถทำให้ขัดขวางเลือดและเกิด FGR ได้
  • ระดับฮอร์โมนจากรกหลายตัวต่ำกว่าทารกปกติ เช่น hCG, PAPP-A หรือซีรั่มมาร์คเกอร์สำหรับคัดกรองดาวน์ในไตรมาสที่สองก็ค่อนข้างต่ำในทารก FGR

การจำแนก FGR (7)

  1. Early-onset FGRทารกโตช้าที่วินิจฉัยได้ก่อนอายุครรภ์ 32 สัปดาห์ นับเป็นร้อยละ 30 ของ FGR มักจะสัมพันธ์กับพัฒนาการของรกที่ผิดปกติตั้งแต่อายุครรภ์ยังน้อย รกมีความต้านทานสูง ซึ่งเสี่ยงสูงต่อการเกิด preeclampsiaและ FGR และยังสัมพันธ์กับกับความผิดปกติของโครโมโซมหรือการติดเชื้อในครรภ์ระยะแรก เช่น หัดเยอรมัน
  2. Late-onset FGR ทารกโตช้าที่วินิจฉัยได้ที่ 32 สัปดาห์หรือมากกว่า นับเป็นร้อยละ 70 ของ FGRมักจะสัมพันธ์กับปัจจัยภายนอกตัวทารก หรือโรคของมารดา ได้แก่ ความดันโลหิตสูง หรือภาวะใดๆที่มีผลให้รกเสื่อมและทำให้การส่งออกซิเจนและสารอาหารไปยังทารกลดลง

ตารางที่ 1 ลักษณะสำคัญทางคลินิกของ early-onset และ late-onsetFGR

ลักษณะ Early-onset FGR Late-onset FGR
ความท้าทายสำคัญทางคลินิก การดูแลรักษา การตรวจพบ
ความชุก ร้อยละ 30 ร้อยละ 70
อายุครรภ์ที่แสดง ก่อน 32 สัปดาห์ มากกว่าหรือเท่ากับ 32 สัปดาห์
ลักษณะทางอัลตราซาวด์ ทารกอาจจะเล็กมาก ทารกไม่จำเป็นต้องมีขนาดเล็กมาก
คลื่นเสียงดอพเลอร์ การเปลี่ยนแปลงของรูปคลื่นดอพเลอร์ในUA, MCA และ DV ปรับเปลี่ยนการกระจายตัวใหม่ของการไหลเวียนในเส้นเลือดสมอง
Biophysical profile อาจผิดปกติ อาจผิดปกติ
ความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ พบบ่อย พบไม่บ่อย
การตรวจพบทางพยาธิวิทยาของรก การฝังตัวของรกไม่ดี ผิดปกติของเส้นเลือดแดง spiral และเส้นเลือดของมารดาส่งผ่านออกซิเจนไม่ดี ลักษณะทางพยาธิของรกไม่ค่อยจำเพาะ ที่เปลี่ยนแปลงหลักคือการซึมผ่านที่เปลี่ยนไป
การตายปริกำเนิด สูง ต่ำ
สภาวะการไหลเวียนเลือดในแม่ Cardiac output ต่ำ แรงต้านทานรอบนอกสูง ไม่ค่อยชัดเจน

Doppler Velocimetry

ทารก FGR มีความสัมพันธ์กับการลดลงของการไหลเวียนเลือดที่รก มักมีความต้านทานที่รกสูงกว่าปกติ ค่า systolic / diastolic (S/D) ratio และ pulsatility index (PI) ของหลอดเลือดแดงสายสะดือสูงขึ้น umbilical RI เป็นสัดส่วนกับหลอดเลือดที่ผิดปกติในรกด้วย (เช่นมีการหนาตัว อุดตัน) ซึ่งแสดงถึงความต้านทานที่สูงขึ้น การเพิ่มขึ้นของ umbilical S/D ratio อาจเกิดนำมาก่อนการโตช้า และเมื่อตรวจพบว่าโตช้า ความต้านทานใน aorta และ renal artery ก็เพิ่มขึ้น การไหลเวียนเลือดที่ไตลดลง น้ำคร่ำน้อยลง ขณะเดียวกันมีการกระจายเลือดชดเชยด้วยการเพิ่มการไหลเวียนเลือดที่สมอง (cephalization) end-diastolic flow ของ middle cerebral artery (MCA) มากขึ้น ซึ่งสัมพันธ์กับการอิ่มตัวของออกซิเจน (oxygen saturation) ที่ลดลง คลื่นเสียงดอปเลอร์ (Doppler) ใช้วินิจฉัย FGR (ทารกตัวเล็กหรือน้ำหนักน้อยกว่าเปอร์เซ็นไทล์ที่ 10) ได้ไม่ดี คือไม่มีความไวพอ แต่ในทางตรงกันข้ามดอปเลอร์มีประโยชน์มากในการประเมินความเสี่ยงของทารกที่วินิจฉัย FGR จากวิธีอื่น (real-time ultrasound) ความผิดปกติของ umbilical S/D ratio อาจทำนายภาวะทุพพลภาพของทารกแรกคลอดได้ดีกว่า NST ภาวะ absent end diastolic velocity (AEDV) (รูปที่ 1) ที่พบในรายโตช้าสัมพันธ์กับการมี fetal distress ในระยะคลอดและการตายปริกำเนิดอย่างชัดเจน ทารก FGR ที่มีดอปเพลอร์ปกติจะมีความเสี่ยงน้อย แต่ความเสี่ยงมากขึ้นเมื่อดอปเพลอร์ของหลอดเลือดแดงสายสะดือผิดปกติ (เช่น ความต้านทานมากขี้นเมื่อตรวจซ้ำ หรือมี AEDV) ซึ่งสัมพันธ์กับความต้านทานใน MCA เพิ่มขึ้น และความเสี่ยงยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อความต้านทานใน MCA กลับลดลงมาในภายหลัง และความเสี่ยงสูงสุดเมื่อหัวใจล้มเหลวมีการไหลย้อนกลับใน ductus venosus (รูปที่ 2) และ inferior vena cava มี pulsatile umbilical vein(8) (รูปที่ 3)

ในบรรดาทารกที่เป็น FGR แต่ดอปเพลอร์ปกติ ไม่มีความจำเป็นต้องตรวจสุขภาพถี่ บางการศึกษาสนับสนุนว่าทารกที่สงสัย FGR แต่ umbilical Doppler ปกติ และน้ำคร่ำปกติ อาจไม่จำเป็นต้องทดสอบสุขภาพทารกในครรภ์ เนื่องจากไม่พบว่ามี metabolic acidemia หรือ chronic asphyxia ในระยะคลอด ในขณะที่การไหลเวียนเลือดที่หลอดเลือดสายสะดือยังลดลงไม่มากแต่ cerebroplacental ratio ผิดปกติแล้ว พยากรณ์จะแย่กว่ารายที่อัตราส่วนนี้ปกติอยู่ อัตราส่วนนี้ช่วยให้ทำนายผลลัพธ์การตั้งครรภ์ได้ดีกว่า umbilical Doppler เพียงอย่างเดียว โดยเฉพาะในรายอายุครรภ์น้อยกว่า 34 สัปดาห์

ค่า Doppler จะปกติในทารกขนาดตัวเล็กโดยธรรมชาติแต่ไม่เป็น FGR แต่จะผิดปกติเฉพาะในรายที่เป็น FGR อันเนื่องจากการเสื่อมของหลอดเลือดบริเวณรก Doppler จึงช่วยทำนาย FGR มากกว่า SGA(9) และ Doppler ยังช่วยบอกถึงความสามารถของทารก FGR ในการปรับตัวด้วย รายที่ปรับตัวด้วยการพัฒนาเพิ่ม capillary angiogenesis และพัฒนา terminal villi จะยังคงมี end-diastolic flow ให้เห็น ต่างกับรายที่ไม่พัฒนาดังกล่าวจะพบ reverse หรือ AEDV(10)

ใน FGR จะมีความผิดปกติในการไหลเวียนเลือดเกิดนำมาก่อนที่จะทารกจะผอมลงอย่างชัดเจน กระบวนการนี้อาจเริ่มต้นตั้งแต่อายุครรภ์ยังน้อย เช่นมีการศึกษาพบว่า Doppler flow ของหลอดเลือดแดงมดลูกและสายสะดือที่ผิดปกติตั้งแต่ 12-16 สัปดาห์สามารถช่วยทำนายการเกิด pre-eclampsia และ FGR ในภายหลังได้(11) ซึ่งความผิดปกติดังกล่าวบ่งชี้ถึงความล้มเหลวของการปรับตัวในการไหลเวียนเลือดที่รกตั้งแต่ระยะครรภ์เริ่มแรก

สรุป: การวัดสัดส่วนของทารกสามารถทำนายขนาดทารกได้ดีที่สุด ในขณะที่ความผิดปกติทาง Doppler velocimetry (โดยเฉพาะอย่างการไม่มี end-diastolic flow) เป็นตัวทำนายสรีรวิทยาของทารก หรือผลการตั้งครรภ์ที่แย่ได้ดีกว่า ดังนั้นแพทย์ส่วนมากจึงนิยมใช้ร่วมกันระหว่างการวัดด้วย real-time และ Doppler velocimetry มากกว่าที่จะใช้อย่างใดอย่างหนึ่ง

รูปที่ 1 Doppler waveforms ของหลอดเลือดแดงสายสะดือ (umbilical artery) แสดงภาวะปกติมีเลือดไหลไปข้างหน้ามากขณะที่สิ้นสุดการการคลายตัว (ซ้ายบน) และทารกโตช้าที่การไหลเวียนขณะสิ้นสุดการคลายตัวน้อยลง (ขวาบน), AEDV (absent end-diastolic velocity: ซ้ายล่าง) และ  REDV (reversed end-diastolic velocity) ซึ่งมีการไหลย้อนกลับของเลือดขณะ end diastole ของทารกโตช้าในครรภ์

รูปที่ 2 Doppler waveforms ของ ductus venosus แสดงภาวะปกติที่มี a-wave (รูปบน) และภาวะทารกโตช้าจนมี AEDV (absent end-diastolic velocity: ซ้ายล่าง) และ REDV (reversed end-diastolic velocity: ขวาล่าง) ซึ่งมีการไหลย้อนกลับของเลือดขณะมี atrial contraction

รูปที่ 3 Doppler waveforms ของหลอดเลือดดำสายสะดือ (umbilical vein) แสดงการไหลเวียนเลือดเป็นจังหวะตามการบีบตัวของหัวใจ (venous pulsations) ของทารกโตช้าในระยะที่ทนต่อภาวะขาดออกซิเจนได้ยากมาก

 

ในทารก FGR ที่มีปัญหา uteroplacental insufficiency (UPI) การไหลเวียนเลือดที่รกแย่ลง umbilical artery pulsatility index (UA-PI) จะมีค่าสูงขึ้น (แสดงถึงความต้านทานที่รกมากขึ้น) และการมี brain sparing effect ซึ่งมีทำให้ค่า MCA-PI มีค่าสูงขึ้น ค่าอัตราส่วน MCA-PI /UA-PI หรือ cerebroplacental ratio  (CPR) การวัดค่านี้จะช่วยให้ความมั่นใจในการวินิจฉัย FGR มากขึ้น ในทารกปกติค่า UA-PI ต่ำกว่า MCA-PI หรือค่า CPR มากกว่า 1.0 ในกรณีที่ความต้านทานในหลอดเลือดสมองลดลงต่ำกว่าความต้านทานในหลอดเลือดรก CPR มีค่าต่ำกว่า 1.0 เป็นปรากฏการณ์ขโมยเลือดไปเลี้ยงสมอง ซึ่งสะท้อนถึงระบบการปรับตัวในการเพิ่มการไหลเวียนเลือดที่สมองในภาวะที่รกเสื่อมลง (cephalization)(12) ค่าดังกล่าวสะท้อนว่าทารกมีความเสี่ยงมากขึ้นแล้วและทำนายผลลัพธ์ที่ไม่ดี ต้องได้รับการติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป ในการศึกษา PORTO trial(13) พบว่าอัตราผลเสียร้ายแรงต่อทารกแรกคลอด (เช่น hypoxic ischaemic encephalopathy; HIE, Necrotizing enterocolitis; NEC การเสียชีวิต) ในรายที่ CPR ต่ำกว่า 1 พบสูงร้อยละ 18 เมื่อเทียบกับร้อยละ 2 ในกลุ่มที่ค่า CPR สูงกว่า 1 ในกรณีที่ UA-PI มีค่ามากกว่าเปอร์เซ็นไทล์ที่ 95 การใช้ CPR จะมีประโยชน์มากในการทำนายผลลัพธ์ที่รุนแรง และยังทำนายผลลัพธ์ที่ไม่ดีได้พอ ๆ กับ UA-AEDV/REDV ด้วย รายงานอื่น ๆ ก็สนับสนุนว่า CPR ที่ผิดปกติสัมพันธ์กับผลลัพธ์ที่ไม่ดีเช่นเดียวกัน(14-18) อย่างไรก็ตามการใช้ CPR เป็นกิจวัตรยังไม่ได้เพิ่มคุณค่าการทำนายเหนือไปกว่าการตรวจ UA-PI อย่างเดียว(19)

การวัด Doppler indices ในทารก FGR ได้มีการศึกษากันอย่างกว้างขวาง และขยายออกไปถึงหลอดเลือดอื่น ๆ นอกจากหลอดเลือดแดงสายสะดือ เช่น การไหลเวียนเลือดผิดปกติใน ductus venosus (DV) และ umbilical vein (UV) บ่งชี้ถึงภาวะเครียดของทารก ยังบ่งชี้ถึงปัญหาระบบหัวใจและหลอดเลือดของทารกเองด้วย reverse flow ที่ DV สัมพันธ์กับผลการตั้งครรภ์ที่ไม่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายโตช้าตั้งแต่อายุครรภ์ยังน้อย(20, 21) DV Doppler อาจมีการเปลี่ยนแปลงก่อนที่ทารกจะเกิดภาวะเลือดมีออกซิเจนน้อย (hypoxia) จริง ๆ (โดยที่ fetal heart rate tracing ปกติอยู่ได้) การศึกษา TRUFFLE ก็สนับสนุนปรากฏการณ์ดังกล่าว (22, 23) แต่ช่วงเวลาดังกล่าวมีผลเสียต่อพัฒนาการของสมอง สมองตายหรือไม่ ยังยากที่จะตอบได้ในปัจจุบัน

เมื่อรกเสื่อมลงเป็นลำดับ ความผิดปกติของ Doppler ก็มักแสดงความรุนแรงเป็นลำดับดังนี้ (24-26)

  • ปริมาณเลือดในหลอดเลือดดำสายสะดือ (UV) ลดลง ซึ่งเกิดเร็วและเกิดนำมาก่อนเห็นการโตที่ช้าลงในทางคลินิก
  • เลือดใน UV มีการกระจายของเลือดใหม่ (redistribution) โดยลดปริมาณจากตับไปเพิ่มเข้าหัวใจ ขนาดตับลดลง เส้นรอบท้องลดลง ซึ่งเป็นการตรวจวัดที่พบได้เป็นครั้งแรก
  • DI ในหลอดเลือดแดงสายสะดือ (UA) จะเพิ่มขึ้น เนื่องจากการไหลเวียนขณะ end diastolic flow น้อยลง ซึ่งเป็นผลจากความต้านทานในรกมากขึ้น
  • DI ใน MCA ลดลง (เพิ่ม end diastolic flow) เนื่องจากการกระจายเลือดไปสมองมากขึ้นจาก brain sparing effect
  • วิลไลฝ่อและเพิ่มความต้านทานในรกที่เป็นมากขึ้นจะก่อให้เกิด AEDV/REDV ใน UA
  • การทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติเนื่องจากขาดออกซิเจนและอาหารอย่างเรื้อรัง เพิ่มความดันในหลอดเลือดแดงของรกและทารก ส่งผลให้เพิ่มค่า DI ใน DV ขณะที่สมรรถนะของหัวใจ (cardiac performance) แย่ลง ทำให้เกิด AEDV / REDV ใน DV และมี pulsatile UV ซึ่งอาจถือได้ว่าเป็นเหตุการณ์ระยะใกล้เสียชีวิต
  • ในระยะนี้จะมีคะแนน BPP ต่ำ NST ให้ผล non-reactive และมี late deceleration

ข้อพิจารณาในเชิงคลินิก

การตรวจวัดความสูงมดลูกเป็นเพียงการคัดกรองเบื้องต้น แต่ยังไม่มีหลักฐานว่ามีประสิทธิภาพสูงในการทำนาย FGR เป็นการตรวจคัดกรองคร่าว ๆ ที่มีอัตราการตรวจพบความผิดปกติในการเจริญเติบโตค่อนข้างต่ำ แต่ก็ยังมีประโยชน์ และแม้ในรายที่มารดาอ้วนก็ยังใช้ได้ จึงเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าถ้าตรวจครรภ์พบว่ามดลูกขนาดเล็กกว่าที่ควรจะเป็นให้ตรวจประเมินด้วยอัลตราซาวด์

เนื่องจากทารกบางรายมีโอกาสน้ำหนักน้อยตามธรรมชาติ ทั้งที่มีสุขภาพดี การใช้แผนภูมิบันทึกการเติบโต (growth chart) สำหรับทารกทั่วไปอาจไม่เหมาะสม จึงมีบางท่านแนะนำให้ใช้ customized growth chart ซึ่งนำเอาปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ต่อน้ำหนักทารกมาช่วยคะเนน้ำหนักที่ควรจะเป็นด้วย ได้แก่ น้ำหนัก/ส่วนสูงของมารดา เชื้อชาติ จำนวนครั้งของครรภ์ เป็นต้น(27) เช่นมารดาชาวไทย ที่น้ำหนักน้อย จะถูกคาดว่าทารกมีน้ำหนักน้อยกว่าชาวตะวันตกเป็นปกติ จะมีการปรับค่าน้ำหนักปกติที่ต่ำกว่าเป็นต้น การใช้ customized growth chart จะทำให้อัตราการวินิจฉัย FGR ลดลง และการใช้ค่า cut-off ที่เปอร์เซ็นไทล์ที่ 5 น่าจะดีกว่าที่ 10(28, 29) การใช้ customize growth chart ตรวจวัดอย่างต่อเนื่องช่วยให้วินิจฉัยทารกตัวเล็กได้ดีขึ้น(30) อย่างไรก็ตามยังไม่มีหลักฐานชัดเจนถึงประโยชน์ของการ customized growth chart และการศึกษาเบื้องต้นพบว่าทำนายผลลัพธ์การปริกำเนิดที่แย่ได้ไม่ดีนัก(28) อนึ่ง เนื่องจากประเทศต่าง ๆ มิได้มีการสร้าง growth chart ที่เหมาะสมสำหรับประชากรตนเอง จึงมักจะอาศัย growth chart ที่แพร่หลายของประเทศทางตะวันตก ซึ่งอาจนำไปสู่การประเมินการเติบโตของทารกในครรภ์ได้ไม่แม่นยำนักเมื่อใช้กับกลุ่มประชากรที่มีน้ำหนักมารดาและเชื้อชาติที่แตกต่างกัน องค์การอนามัยโลกจึงได้พัฒนา fetal growth chart ในการทำนายน้ำหนักทารกโดยอัลตราซาวด์มาร์คเกอร์ที่ใช้อยู่เป็นประจำ(31) เชื่อว่าจะทำให้การวินิจฉัยการเจริญเติบโตของทารกมีความถูกต้องแม่นยำมากขึ้น

เนื่องจากการวินิจฉัย FGR ส่วนใหญ่ถือกันตามขนาดทารก แทนที่จะประเมินสภาวะการขาดอาหาร (malnutrition) หรือไม่ ทารกตัวเล็ก (SGA) มิได้หมายความว่าทารกเหล่านั้นจะมีการโตที่ผิดปกติในแง่ของการขาดอาหาร ซึ่งเล็กโดยธรรมชาติไม่ถือว่ามีความเสี่ยงในแง่สุขภาพ แต่เป็นเพียงความแปรปรวนในขนาดทารกที่ย่อมแตกต่างกันได้ เช่นเดียวกับมนุษย์ทั่วไป

การศึกษาในแง่นี้ควรจะย้ำลงไปว่าการเจริญเติบโตผิดปกติ อาจไม่ใช่ SGA ก็ได้ เช่นทารกตัวโตโดยธรรมชาติ แต่พอถึงระยะท้ายของการตั้งครรภ์มีภาวะขาดอาหารเกิดขึ้นจากรกเสื่อมสภาพ มีความเสี่ยงต่อการขาดออกซิเจน แต่การตรวจวัดทางคลื่นเสียงความถี่สูงอาจพบว่าอยู่ที่เปอร์เซ็นไทล์ที่ 50 ทำนายว่าไม่เล็ก ไม่เป็น SGA แต่แท้จริงแล้วเป็น FGR ได้

การตรวจวัดทางคลื่นเสียงความถี่สูง มักจะเป็นการวัด SGA มากกว่า FGR แม้ว่าส่วนใหญ่จะใช้เป็นคำคำเดียวกันก็ตาม เพียงแต่ว่าส่วนใหญ่ของ FGR ตกอยู่ต่ำกว่าเปอร์เซ็นไทล์ที่ 10 ดังนั้นเมื่อวินิจฉัย SGA ก็น่าจะเป็น FGR ไปด้วย ควรได้รับการดูแลเป็นพิเศษในฐานะที่มีความเสี่ยงสูง การแยกระหว่าง SGA และ FGR จึงอาจจะยาก แต่ก็ควรได้รับการตรวจระวังเหมือนกัน ทั้งในแง่ของการได้รับออกซิเจน และการเติบโตต่อไป

ประมาณร้อยละ 80 ของรายที่สงสัย SGA พบว่ามีน้ำหนักแรกคลอดต่ำกว่าเปอร์เซ็นไทล์ที่ 10 และความแม่นยำจะยิ่งถูกต้องมากขึ้นในกลุ่มที่น้ำหนักต่ำกว่าเปอร์เซ็นไทล์ที่ 5 และกลุ่มนี้มีโอกาสสูงที่จะต้องรับไว้ใน NICU และมีภาวะแทรกซ้อนสูงกว่ากลุ่มที่มีน้ำหนักอยู่ระหว่างเปอร์เซ็นไทล์ที่ 5-9(32)

การวัดทางคลื่นเสียงความถี่สูง (fetal biometry) เป็นเพียงความพยายามที่จะบอกขนาดเด็ก แต่มิได้บอกสุขภาพเด็ก ในทางตรงกันข้าม Doppler หรือ non stress test (NST), biophysical profile (BPP), oxytocin challenge test (OCT) และปริมาณน้ำคร่ำบอกถึงสุขภาพเด็ก แต่ไม่บอกขนาดเด็ก ทารกที่มีความเสี่ยงควรได้รับการตรวจทั้งขนาดและสุขภาพด้วย

เมื่อตรวจพบ หรือทำนายว่าทารกเป็น SGA และได้รับการตรวจสุขภาพแล้วพบว่าปกติ ก็มิได้หมายความว่าไม่ขาดอาหาร อาจเป็นรายที่ขาดอาหารแต่ยังไม่ถึงกับรุนแรงจนถึงขั้นขาดออกซิเจนขั้นวิกฤต การติดตามการเจริญเติบโต และสุขภาพจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น ตราบใดก็ตามที่กราฟการเติบโตยังคงขนาน (ไปด้วยกันกับ normal curve) ไม่ว่าจะตกอยู่ที่เปอร์เซนไทล์เท่าใด ควรถือว่าเป็นการเติบโตที่เหมาะสม(33)

แม้ว่าการตรวจวัดทางคลื่นเสียงความถี่สูง จะบอกขนาดทารกว่าเป็น SGA หรือไม่ แต่ก็อาจให้ข้อมูลที่บ่งขี้ว่าน่าจะเป็น FGR หรือเล็กโดยธรรมชาติอย่างเดียว เช่น HC/AC ผิดปกติน่าจะบ่งชี้ว่าทารกผอมจากการขาดอาหารมากกว่าเล็กโดยธรรมชาติ เพราะผิดสัดส่วนคือ หัวโตท้องเล็ก เป็นต้น

SGA ที่บ่งชี้ว่าน่าจะเป็น FGR ได้แก่

  • น้ำคร่ำน้อย
  • สัดส่วนผิดปกติ เช่น อัตราส่วน HC/AC, FL/AC, TCD/AC ผิดปกติ ท้องเล็กแบบไม่ได้สัดส่วน
  • อัตราการเติบโตของทารกช้า ซึ่งประเมินได้ด้วยการตรวจติดตามซ้ำใน 2-4 สัปดาห์ต่อมา
  • Doppler studies ผิดปกติ
  • มีความผิดปกติในการตรวจสุขภาพทารกในครรภ์อื่น ๆ
  • ทารก FGR มีพฤติกรรมต่างไปจากทารกที่เติบโตปกติ (ทั้งกระตุ้นและไม่กระตุ้น) เช่น การดิ้นการตอบสนองต่อการกระตุ้นด้วยเสียง เป็นต้น ซึ่งอาจวิเคราะห์รูปแบบพฤติกรรมด้วยคอมพิวเตอร์ หรือการเฝ้าสังเกตธรรมดาก็ได้(34)

SGA ที่น้ำคร่ำปกติ ไดัสัดส่วน สุขภาพปกติ อาจจะเป็นเพียงเล็กโดยธรรมชาติ ซึ่งควรติดตามสุขภาพต่อไป แต่อาจไม่จำเป็นต้องรีบให้ยุติการตั้งครรภ์

ควรทำความเข้าใจว่าการวัดคลื่นเสียงความถี่สูงด้วยตัววัดต่าง ๆ มุ่งจะทำนายน้ำหนักว่าต่ำกว่าเปอร์เซ็นไทล์ที่ 10 หรือไม่ มิได้บอกสุขภาพทารกโดยตรงว่าสมบูรณ์หรืออ่อนแอ อย่างไรก็ตามโดยรวมแล้ว SGA ย่อมมีความเสี่ยงต่อภาวะอ่อนแอมากกว่าทารกน้ำหนักปกติ ประมาณร้อยละ 80 ของรายที่สงสัย SGA จะมีน้ำหนักคลอดต่ำกว่าเปอร์เซ็นไทล์ที่ 10 จริง และความถูกต้องยิ่งสูงขึ้นในกลุ่มต่ำกว่าเปอร์เซ็นไทล์ที่ 5 ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีปัญหาในทารกแรกคลอดสูง (32)

คลอดเมื่อไหร่ดี: เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า เมื่อมีหลักฐานว่าทารกอยู่ในครรภ์ด้วยความยากลำบาก ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่อันตราย และปอดสมบูรณ์พอที่จะอยู่ในโลกภายนอกได้อย่างไม่ลำบาก ก็สมควรให้คลอด อย่างไรก็ตามในรายที่ปอดสมบูรณ์แล้ว (มากกว่า 37 สัปดาห์) ทารกที่สงสัยโตช้า แต่ยังไม่มีท่าทีทุกข์ร้อน การไหลเวียนเลือดยังไม่บกพร่อง (reassuring fetal well-being) สามารถเลือกที่ให้คลอด หรือติดตามอย่างใกล้ชิดด้วยความระมัดระวัง ก็สามารถให้ผลลัพธ์การตั้งครรภ์ที่พอ ๆ กัน ทั้งในระยะคลอด หลังคลอดใหม่ ๆ(35) หรือในระยะยาว(36) National Institute of Child Health and Human Development, the Society for Maternal-Fetal Medicine, and the American College of Obstetricians and Gynecologists(37) แนะนำว่าในกรณีที่เป็น FGR เดี่ยว ๆ ที่ไม่มีปัญหาอื่น ๆ และสุขภาพทารกดี ให้คลอดที่อายุครรภ์ 38 0/7–39 6/7 สัปดาห์ และกรณีที่มีปัจจัยเสี่ยงเพิ่มเติมต่อผลลัพธ์ที่ไม่ดี เช่น น้ำคร่ำน้อย Doppler ของหลอดเลือดแดงสายสะดือผิดปกติ มีความเสี่ยงอื่นในมารดา 2) ให้คลอดที่ 34 0/7–37 6/7 สัปดาห์ ส่วนกรณีที่คาดว่าจะคลอดก่อน 34 สัปดาห์ (เช่น Doppler ผิดปกติ และการทดสอบ BPP บ่งชี้ไม่ดี เป็นต้น) ควรวางแผนให้คลอดในศูนย์ที่มีความพร้อมของทารกแรกคลอด และถ้าเป็นไปได้ให้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาเวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์ (MFM specialist) การตัดสินใจยากคือรายที่อายุครรภ์น้อย โดยเฉพาะก่อน 32 สัปดาห์ (ซึ่งศักยภาพในการเลี้ยงทารกดังกล่าวก็แตกต่างกันไประหว่างสถาบัน) แต่โดยทั่วไปแล้วมีอัตราการตายสูง ระหว่าง 26 – 29 สัปดาห์ มีอัตราการรอดเพิ่มขึ้นสัปดาห์ละ 1-2%(20) ปัจจัยที่บอกว่าถ้าเป็นไปได้ควรให้คลอดเลย ได้แก่ ductus venosus Doppler ผิดปกติ หรือการมี UA-AEDV และ UA-REDV ในกรณีที่อายุครรภ์มากกว่า 34 หรือ 32 สัปดาห์ตามลำดับ ควรให้คลอด ในรายที่ยอมรับการตรวจติดตามหลัง 36 สัปดาห์ ควรให้คลอดช่วง 37-38 สัปดาห์ หลัง 40 สัปดาห์ไปแล้วอัตราการเสียชีวิตจะสูงขึ้นชัดเจน สำหรับกรณีปากมดลูกไม่พร้อม ไม่ควรเป็นเหตุผลในการไม่ชักนำคลอด สามารถทำปากมดลูกให้สุกได้ด้วยพรอสตาแกลนดิน หรือวิธีบอลลูนเป็นต้น

แนวทางการดูแลรักษา (1, 2, 7, 37, 38)

  • การป้องกัน แนะนำให้หลีกเลี่ยงหรือรักษาปัจจัยเสี่ยง เช่น ควบคุมความดันโลหิตสูง เป็นต้น สำหรับการใช้ยาป้องกัน เช่น sildelnafil (เพิ่มการไหลเวียนที่รก) มีส่วนช่วยเพิ่มน้ำหนักทารกในรายที่รกเสื่อม (39) แต่ยังต้องการการศึกษาเพิ่มเติม
  • แนะนำให้ตรวจอัลตราซาวด์ขั้นละเอียดสูง โดยเฉพาะในราย early-onset
  • แนะนำให้ตรวจโครโมโซม รวมถึง CMA (chromosomal microarray) ในรายที่ทารกพิการ น้ำคร่ำมาก โดยไม่คำนึงอายุครรภ์ หรือ early-onset (แม้ไม่พบความผิดปกติอื่น) ในกรณีที่ตรวจโครโมโซมปกติ การตรวจ CMA ทำให้ทราบสาเหตุเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 6
  • การติดเชื้อ TORCHไม่แนะนำให้ตรวจเป็นกิจวัตร แต่อาจทำในรายเสี่ยงสูง เช่น มีมาร์คเกอร์ทางอัลตราซาวด์ เป็นต้น ในรายที่ตรวจหา แนะนำให้ตรวจ PCR สำหรับ CMV จากการเจาะน้ำคร่ำ
  • UA-Doppler ทุกสัปดาห์ถ้ามี EDV ลดลง (PI > 95 เปอร์เซ็นไทล์) หรือเป็นรุนแรง (EFW <เปอร์เซ็นไทล์ที่ 3)
  • UA-Doppler 2-3 ครั้ง/สัปดาห์ ในราย AEDV
  • ในราย REDV ให้รับไว้ในโรงพยาบาล ตรวจ CTG วันละอย่างน้อย 1-2 ครั้ง
  • FGR ที่ไม่มี AEDV/REDV ให้ตรวจ CTG สัปดาห์ละครั้ง (ระยะที่เลี้ยงรอดแล้ว)
  • ให้สเตียรอยด์เร่งปอดในรายที่คาดว่าจะคลอดก่อน 33+6สัปดาห์ หรือรายที่อายุครรภ์ 34-36+6 ที่คาดว่าจะคลอดใน 7 วัน โดยไม่มีข้อบ่งห้าม และไม่ได้รับสเตียรอยด์มาก่อน
  • รายที่คลอดก่อน 32 สัปดาห์ พิจารณาให้ magnesium sulfate ในระยะคลอดสำหรับ neuroprotection
  • อายุครรภ์ที่พิจารณาให้คลอดในกรณีที่ CTG (cardiotocography)ปกติ
  • UA-Doppler ปกติ : 38-39 สัปดาห์
  • UA-Doppler ปกติแต่ FGR รุนแรง (<เปอร์เซ็นไทล์ที่ 3) : 37 สัปดาห์
  • UA-Doppler มีค่า (PI >เปอเซ็นไทล์ที่ 95) : 37 สัปดาห์
  • UA-AEDV : 33-34 สัปดาห์
  • UA-REDV : 30-32 สัปดาห์
  • FGR ที่วินิจฉัยก่อน 24-25 สัปดาห์ให้พิจารณาเป็นราย ๆ ไป (เช่น ให้ทางเลือกยุติการตั้งครรภ์)

บางองค์กรแนะนำเพิ่มรายละเอียดปลีกย่อยเช่น ISUOG(7, 21) แนะนำให้ตรวจ DV-Doppler / computerized CTG (short term variations: STV) ในรายที่มี AEDV/REDV (แตกต่างกันในวิธี surveillance) และให้คลอดถ้ามีหลักฐานว่าทารกอยู่ในขีดอันตราย เช่น late deceleration หรือ absent / reversed DV a-wave หรือ BPP คะแนนต่ำกว่า 6 เป็นต้น

  • ในรายที่มารดามีปัญหามาก อาจมีความจำเป็นต้องให้ยุติการตั้งครรภ์ด้วยข้อบ่งชี้ทางมารดาเช่นโรคครรภ์เป็นพิษชนิดรุนแรง (severe preeclampsia)เป็นต้น
  • ระยะคลอด : ติดตามสุขภาพทารกระยะคลอดแบบต่อเนื่อง แจ้ง/ปรึกษากุมารแพทย์ทารกแรกคลอด
  • วิธีการคลอดโดยทั่วไปแล้วให้คลอดตามปกติ ผ่าตัดเมื่อมีข้อบ่งชี้เช่น fetal distressถ้ามีเพียงปัญหา FGR ไม่ควรถือเป็นข้อบ่งชี้ในการผ่าตัดคลอด

ระยะหลังคลอด

มีความเตรียมพร้อมสำหรับช่วยแก้ไขและป้องกันภาวะแทรกซ้อนมาตั้งแต่ก่อนคลอด ทันทีที่คลอดในรายที่น้ำคร่ำมีขี้เทาปนต้องดูดออกจากช่องจมูกและ oropharynx ให้มากที่สุดก่อนคลอดลำตัว ร่วมกับการทำ tracheal suction ทาง endotracheal tube หรือป้องกันและลดความรุนแรงของภาวะ meconium aspiration syndrome (MAS) และ birth asphyxia นอกจากนั้นต้องระมัดระวังภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ อุณหภูมิต่ำ ความเข้มข้นเลือดสูง และติดตามการเจริญเติบโตระยะยาวต่อไป

การพยากรณ์โรค

นอกเหนือจากการเพิ่มปัญหา acidosis ภาวะทุพพลภาพและการตายปริกำเนิดแล้ว FGR อาจพบมี neurological และ intellectual deficit มากกว่าทารกปกติ โดยเฉพาะในรายที่เป็นรุนแรง ในระยะยาวเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด หรือโรคทางเมตาบอลิซึมมากขึ้น กลุ่ม early-onset FGR จะยังคงมีการเจริญเติบโตช้ากว่าปกติ เนื่องจากสาเหตุส่วนใหญ่เป็นปัจจัยภายใน (intrinsic factors) ส่วนกลุ่ม late-onset FGR มักมีพยากรณ์ที่ดีกว่า ถ้าได้รับการดูแลเหมาะสมจะมีการเจริญเติบโตปกติหลังคลอดซึ่งการเจริญเติบโตและพัฒนาการทางสมองไม่แตกต่างจากทารกปกติ มีหลักฐานการศึกษาว่าการเพิ่มความระมัดระวังของการตรวจ SGA ให้ได้มีส่วนสำคัญในการช่วยลดอัตราการตายคลอดหรือการตายปริกำเนิดได้อย่างมีนัยสำคัญ (40)

การเป็นซ้ำและการป้องกัน

มีโอกาสให้กำเนิดทารกเป็น FGR ในครรภ์ต่อไปเป็น 2 เท่า ถ้าเคยมีบุตรเป็น FGR มา 2 คนแล้วมีโอกาสเพิ่มขึ้นเป็น 4 เท่ายังไม่มีวิธีการป้องกันที่มีประสิทธิภาพสูงสำหรับทุกราย แต่สำหรับรายที่มีปัจจัยเสี่ยง แนะนำให้หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงเช่น บุหรี่ แอลกอฮอล์ เป็นต้น ในรายที่เป็น FGR ที่สัมพันธ์กับ preeclampsia การกินแอสไพรินขนาดต่ำจะมีประโยชน์ในการป้องกัน preeclampsia ในครรภ์ต่อไป และช่วยลดความเสี่ยง FGR ลงด้วยเช่นกัน (relative risk 0.56, 95% CI 0.44-0.70)(41)

เอกสารอ้างอิง

1. Resnik R. Intrauterine Growth Restriction. In: Resnik R, Lockwood CJ, Moore TR, Greene MF, Copel JA, Silver RM, editors. Creasy & Resnik’s Maternal-Fetal Medicine: Principles and Practice. 8 ed. Philadelphia: Elsevier, Inc.; 2019. p. 798-809.

2. Cunningham FG, Leveno KJ, Bloom SL, Dashe JS, Hoffman BL, Casey BM, et al. Williams Obstetrics. 25 ed. New York: McGraw-Hill Education; 2018.

3. Barker DJ. Early growth and cardiovascular disease. Arch Dis Child. 1999;80(4):305-7.

4. Carmody JB, Charlton JR. Short-term gestation, long-term risk: prematurity and chronic kidney disease. Pediatrics. 2013;131(6):1168-79.

5. Lugthart MA, Horenblas J, Kleinrouweler EC, Engels M, Knegt AC, Huijsdens K, et al. Prenatal sonographic features can accurately determine parental origin in triploid pregnancies. Prenat Diagn. 2020;40(6):705-14.

6. Mateus J, Newman RB, Zhang C, Pugh SJ, Grewal J, Kim S, et al. Fetal growth patterns in pregnancy-associated hypertensive disorders: NICHD Fetal Growth Studies. Am J Obstet Gynecol. 2019;221(6):635.e1-.e16.

7. Lees CC, Stampalija T, Baschat A, da Silva Costa F, Ferrazzi E, Figueras F, et al. ISUOG Practice Guidelines: diagnosis and management of small-for-gestational-age fetus and fetal growth restriction. Ultrasound Obstet Gynecol. 2020;56(2):298-312.

8. Turan OM, Turan S, Gungor S, Berg C, Moyano D, Gembruch U, et al. Progression of Doppler abnormalities in intrauterine growth restriction. Ultrasound Obstet Gynecol. 2008;32(2):160-7.

9. Bates JA, Evans JA, Mason G. Differentiation of growth retarded from normally grown fetuses and prediction of intrauterine growth retardation using Doppler ultrasound. Br J Obstet Gynaecol. 1996;103(7):670-5.

10. Todros T, Sciarrone A, Piccoli E, Guiot C, Kaufmann P, Kingdom J. Umbilical Doppler waveforms and placental villous angiogenesis in pregnancies complicated by fetal growth restriction. Obstet Gynecol. 1999;93(4):499-503.

11. Harrington K, Carpenter RG, Goldfrad C, Campbell S. Transvaginal Doppler ultrasound of the uteroplacental circulation in the early prediction of pre-eclampsia and intrauterine growth retardation. Br J Obstet Gynaecol. 1997;104(6):674-81.

12. Morales-Rosello J, Khalil A. Fetal cerebral redistribution: a marker of compromise regardless of fetal size. Ultrasound Obstet Gynecol. 2015;46(4):385-8.

13. Flood K, Unterscheider J, Daly S, Geary MP, Kennelly MM, McAuliffe FM, et al. The role of brain sparing in the prediction of adverse outcomes in intrauterine growth restriction: results of the multicenter PORTO Study. Am J Obstet Gynecol. 2014;211(3):288 e1-5.

14. Khalil AA, Morales-Rosello J, Morlando M, Hannan H, Bhide A, Papageorghiou A, et al. Is fetal cerebroplacental ratio an independent predictor of intrapartum fetal compromise and neonatal unit admission? Am J Obstet Gynecol. 2015;213(1):54 e1-10.

15. Khalil AA, Morales-Rosello J, Elsaddig M, Khan N, Papageorghiou A, Bhide A, et al. The association between fetal Doppler and admission to neonatal unit at term. Am J Obstet Gynecol. 2015;213(1):57 e1-7.

16. Regan J, Masters H, Warshak CR. Estimation of the growth rate in fetuses with an abnormal cerebroplacental ratio compared to those with suspected growth restriction without evidence of centralization of blood flow. J Ultrasound Med. 2015;34(5):837-42.

17. Conde-Agudelo A, Villar J, Kennedy SH, Papageorghiou AT. Predictive accuracy of cerebroplacental ratio for adverse perinatal and neurodevelopmental outcomes in suspected fetal growth restriction: systematic review and meta-analysis. Ultrasound Obstet Gynecol. 2018;52(4):430-41.

18. Vollgraff Heidweiller-Schreurs CA, De Boer MA, Heymans MW, Schoonmade LJ, Bossuyt PMM, Mol BWJ, et al. Prognostic accuracy of cerebroplacental ratio and middle cerebral artery Doppler for adverse perinatal outcome: systematic review and meta-analysis. Ultrasound Obstet Gynecol. 2018;51(3):313-22.

19. Vollgraff Heidweiller-Schreurs CA, van Osch IR, Heymans MW, Ganzevoort W, Schoonmade LJ, Bax CJ, et al. Cerebroplacental ratio in predicting adverse perinatal outcome: a meta-analysis of individual participant data. Bjog. 2021;128(2):226-35.

20. Baschat AA, Cosmi E, Bilardo CM, Wolf H, Berg C, Rigano S, et al. Predictors of neonatal outcome in early-onset placental dysfunction. Obstet Gynecol. 2007;109(2 Pt 1):253-61.

21. Ganzevoort W, Thornton JG, Marlow N, Thilaganathan B, Arabin B, Prefumo F, et al. Comparative analysis of 2-year outcomes in GRIT and TRUFFLE trials. Ultrasound Obstet Gynecol. 2020;55(1):68-74.

22. Lees CC, Marlow N, van Wassenaer-Leemhuis A, Arabin B, Bilardo CM, Brezinka C, et al. 2 year neurodevelopmental and intermediate perinatal outcomes in infants with very preterm fetal growth restriction (TRUFFLE): a randomised trial. Lancet. 2015;385(9983):2162-72.

23. Vora NL, Chescheir N. Delivery of the growth restricted preterm fetus. Lancet. 2015;385(9983):2126-8.

24. Ferrazzi E, Bozzo M, Rigano S, Bellotti M, Morabito A, Pardi G, et al. Temporal sequence of abnormal Doppler changes in the peripheral and central circulatory systems of the severely growth-restricted fetus. Ultrasound Obstet Gynecol. 2002;19(2):140-6.

25. Cosmi E, Ambrosini G, D’Antona D, Saccardi C, Mari G. Doppler, cardiotocography, and biophysical profile changes in growth-restricted fetuses. Obstet Gynecol. 2005;106(6):1240-5.

26. Baschat AA. Venous Doppler evaluation of the growth-restricted fetus. Clin Perinatol. 2011;38(1):103-12, vi.

27. De Jong CL, Francis A, Van Geijn HP, Gardosi J. Customized fetal weight limits for antenatal detection of fetal growth restriction. Ultrasound Obstet Gynecol. 2000;15(1):36-40.

28. Zhang J, Mikolajczyk R, Grewal J, Neta G, Klebanoff M. Prenatal application of the individualized fetal growth reference. Am J Epidemiol. 2011;173(5):539-43.

29. Zhang J, Merialdi M, Platt LD, Kramer MS. Defining normal and abnormal fetal growth: promises and challenges. Am J Obstet Gynecol. 2010;202(6):522-8.

30. Roex A, Nikpoor P, van EE, Hodyl N, Dekker G. Serial plotting on customised fundal height charts results in doubling of the antenatal detection of small for gestational age fetuses in nulliparous women. Aust N Z J Obstet Gynaecol. 2012;52(1):78-82.

31. Kiserud T, Piaggio G, Carroli G, Widmer M, Carvalho J, Neerup JL, et al. The World Health Organization Fetal Growth Charts: A Multinational Longitudinal Study of Ultrasound Biometric Measurements and Estimated Fetal Weight. PLoS Med. 2017;14(1):e1002220.

32. Mlynarczyk M, Chauhan SP, Baydoun HA, Wilkes CM, Earhart KR, Zhao Y, et al. The clinical significance of an estimated fetal weight below the 10th percentile: a comparison of outcomes of <5th vs 5th-9th percentile. Am J Obstet Gynecol. 2017;217(2):198.e1-.e11.

33. Dubinsky TJ, Sonneborn R. Trouble With the Curve: Pearls and Pitfalls in the Evaluation of Fetal Growth. J Ultrasound Med. 2020;39(9):1839-46.

34. Vindla S, James D, Sahota D. Computerised analysis of unstimulated and stimulated behaviour in fetuses with intrauterine growth restriction. Eur J Obstet Gynecol Reprod Biol. 1999;83(1):37-45.

35. Boers KE, Vijgen SM, Bijlenga D, van der Post JA, Bekedam DJ, Kwee A, et al. Induction versus expectant monitoring for intrauterine growth restriction at term: randomised equivalence trial (DIGITAT). BMJ. 2010;341:c7087.

36. Walker DM, Marlow N, Upstone L, Gross H, Hornbuckle J, Vail A, et al. The Growth Restriction Intervention Trial: long-term outcomes in a randomized trial of timing of delivery in fetal growth restriction. Am J Obstet Gynecol. 2011;204(1):34-9.

37. Fetal Growth Restriction: ACOG Practice Bulletin, Number 227. Obstet Gynecol. 2021;137(2):e16-e28.

38. Martins JG, Biggio JR, Abuhamad A. Society for Maternal-Fetal Medicine (SMFM) Consult Series #52: Diagnosis and Management of Fetal Growth Restriction. Am J Obstet Gynecol. 2020.

39. Ferreira R, Negrini R, Bernardo WM, Simões R, Piato S. The effects of sildenafil in maternal and fetal outcomes in pregnancy: A systematic review and meta-analysis. PLoS One. 2019;14(7):e0219732.

40. Hugh O, Williams M, Turner S, Gardosi J. Reduction of stillbirths in England from 2008 to 2017 according to uptake of the Growth Assessment Protocol: 10-year population-based cohort study. Ultrasound Obstet Gynecol. 2021;57(3):401-8.

41. Roberge S, Nicolaides K, Demers S, Hyett J, Chaillet N, Bujold E. The role of aspirin dose on the prevention of preeclampsia and fetal growth restriction: systematic review and meta-analysis. Am J Obstet Gynecol. 2017;216(2):110-20 e6.

Read More
FetalEchoXI

Fetal Echocardiography XI

Dowload ไฟล์ exel เพื่อลงทะเบียน คลิกที่นี่

Download เอกสารประกอบการเข้าร่วมประชุมโดยไม่ถือเป็นวันลา คลิกที่นี่

21-23 กันยายน 2563

กรุณาลงทะเบียนโดยกรอกข้อมูลในไฟล์ exel แล้วส่ง submit ทาง e-mail ที่: mfm.cmu@gmail.com

Please register Fetal Echo X (using the downloaded form from the link above and sending via e-mail: mfm.cmu@gmail.com

FetalEchoXI

โครงการอบรมเชิงปฏิบัติการ
“การตรวจโรคหัวใจทารกในครรภ์ด้วยอัลตราซาวด์”
Fetal Echocardiography XI: Practical Points

MFMslogoMUA

วันที่ 22-23 กันยายน 2563
ณ ห้องประชุมชั้น 15 อาคารสุจิณโณ
คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

1. หลักการและเหตุผล

ปัญหาสำคัญในการวินิจฉัยก่อนคลอดของโรคหัวใจพิการโดยกำเนิดสำหรับทารกในครรภ์ นับเป็นหนึ่งในเรื่องร้อนที่ท้าทาย (hot issue) ในสาขาวิชาเวชศาสตร์มารดาและทารก เนื่องจากเป็นความพิการโดยกำเนิดที่พบได้บ่อยที่สุด มีความชุกถึงประมาณร้อยละ 1 ของการคลอด เป็นสาเหตุสำคัญของการตายปริกำเนิดที่สัมพันธ์กับภาวะพิการโดยกำเนิดบ่อยที่สุดเช่นเดียวกัน และเป็นความพิการโดยกำเนิดที่พลาดจากการวินิจฉัยก่อนคลอดได้บ่อยที่สุด ทีมงานเวชศาสตร์มารดาและทารก ภาควิชาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ทำการศึกษาค้นคว้าด้านการวินิจฉัยก่อนคลอดของโรคหัวใจพิการโดยกำเนิด (fetal echocardiography) อย่างต่อเนื่องมากว่า 20 ปี(1-57) และเป็นศูนย์กลางการฝึกอบรมแพทย์ต่อยอดเฉพาะทางเวชศาสตร์มารดาและทารก ได้เล็งเห็นความสำคัญของการมีทักษะในด้านนี้ ซึ่งนอกเหนือจากการมีประสบการณ์ ทักษะ ความคุ้นเคย และมีหลักการในการตรวจค้นหาอย่างเป็นระบบแล้ว ยังจำเป็นต้องมีการศึกษาต่อยอดอย่างต่อเนื่อง แบ่งปันประสบการณ์ เทคนิค และปรับตัวเรียนรู้ไปตามวิทยาการและเทคโนโลยีด้านนี้อย่างต่อเนื่อง ทางทีมงานมีความคาดหวังที่จะช่วยกันส่งเสริมความรู้และทักษะเชิงลึกด้านการตรวจหัวใจทารกในครรภ์ ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อการวินิจฉัยก่อนคลอดและวางแผนการดูแลรักษาตั้งแต่อายุครรภ์ยังน้อย หรือส่งตัวผู้ป่วยไปสู่การดูแลรักษาในสถานที่ที่มีความพร้อมมากกว่าเป็นต้น หรือแม้แต่การให้โอกาสทางเลือกในการยุติการตั้งครรภ์ตั้งแต่อายุครรภ์ยังน้อย (สำหรับรายที่ทารกมีความพิการชนิดรุนแรงที่อาจไม่สามารถมีชีวิตรอดได้) ดังนั้นทีมงานจึงได้จัดการประชุมวิชาการด้าน “การตรวจอัลตราซาวด์หัวใจทารกในครรภ์ : fetal echocardiography” อย่างต่อเนื่อง ในการจัดประชุมครั้งนี้จะเน้นเทคนิค เคล็ดลับสำคัญในการตรวจ เพื่อการวินิจฉัยโรคหัวใจทารกในครรภ์อย่างถูกต้อง และมั่นใจ ซึ่งเป็นการประยุกต์เทคโนโลยีที่มีอยู่ทั่วไปให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยมุ่งหวังให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมเพิ่มพูนทักษะการประยุกต์ใช้ให้มีความสามารถในการวินิจฉัยโรคหัวใจพิการโดยกำเนิดได้ก่อนคลอดด้วยความมั่นใจสูง รวมทั้งฟื้นฟูความรู้และเทคนิคในการตรวจใหม่ ๆ ของระบบหัวใจและหลอดเลือดซึ่งมีความก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว และเนื่องจากทักษะสำคัญของการวินิจฉัยคือการตรวจหัวใจทารกในครรภ์ ซึ่งต้องอาศัยทักษะสูงกว่าการตรวจทั่วไป และแลกเปลี่ยนความรู้ในเชิงลึกของศาสตร์ด้านนี้กับผู้มีประสบการณ์

2. วัตถุประสงค์ เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรม

เพื่อเพิ่มทักษะ อัพเดตความรู้ และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการตรวจวินิจฉัยหัวใจทารกในครรภ์ และ ตรวจวินิจฉัยโรคหัวใจพิการโดยกำเนิดให้ได้เร็วขึ้น โดยคาดหวังว่าผู้ฝึกอบรมสามารถวินิจฉัยโรคหัวใจพิการโดยกำเนิดตั้งแต่ระยะเริ่มแรก และสามารถประยุกต์ใช้อัลตราซาวด์ในการคัดกรองและวินิจฉัยหัวใจทารกผิดปกติได้อย่างมีระบบด้วยความมั่นใจมากขึ้น

3. ผู้เข้าร่วมโครงการ

3.1 วิทยากร 11 คน
3.2 สูติแพทย์ แพทย์ต่อยอดสาขาเวชศาสตร์มารดาและทารก และผู้สนใจ 60 คน
3.3 แพทย์ประจำบ้านสาขาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 60 คน
3.4 เจ้าหน้าที่ 6 คน

รวม 127 คน

4. วิทยากร

4.1 รองศาสตราจารย์ นายแพทย์วัชระ จามจุรีรักษ์
4.2 ศาสตราจารย์ นายแพทย์ธีระ ทองสง
4.3 รองศาสตราจารย์ นายแพทย์ชเนนทร์ วนาภิรักษ์
4.4 ศาสตราจารย์ แพทย์หญิงสุพัตรา ศิริโชติยะกุล
4.5 รองศาสตราจารย์ ดร. นายแพทย์วีรวิทย์ ปิยะมงคล
4.6 รองศาสตราจารย์ แพทย์หญิงเฟื่องลดา ทองประเสริฐ
4.7 รองศาสตราจารย์ แพทย์หญิง เกษมศรี ศรีสุพรรณดิฐ
4.8 รองศาสตราจารย์ แพทย์หญิงสุชยา ลือวรรณ
4.9 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ แพทย์หญิงกุณฑรี ไตรศรีศิลป์
4.10 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์ ภูดิศ เจต๊ะวรรณ
4.11 อาจารย์ แพทย์หญิง ศิรินาถ ศิริเลิศศ

5. สถานที่

ห้องประชุมชั้น 15 อาคารสุจิณโณ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

6. ระยะเวลา

วันที่ 26-27 กันยายน 2562

7. ผู้รับผิดชอบโครงการ

หน่วยเวชศาสตร์มารดาและทารก ภาควิชาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา
คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

8. การลงทะเบียน

ลงทะเบียนโดยไม่เก็บค่าลงทะเบียน

9. งบประมาณ

9.1 ประมาณการรายรับ
• ได้รับการสนับสนุนจากโครงการวิจัยพัฒนาศักยภาพการวิจัยเชิงสถาบัน 100,000.- บาท

9.2 ประมาณการรายจ่าย
• ของที่ระลึกวิทยากร 3,000.- บาท
• ค่าอาหารว่างและอาหารกลางวัน 60,000.- บาท
• ค่าเอกสารและซีดีมัลติมีเดียประกอบการอบรม (130.- x 130 ชุด) 30,000.- บาท
• ค่าแผ่นพับ (10.- x 500 แผ่น) 5,000.- บาท
• ค่าแสตมป์และซองจดหมาย 2,000.- บาท

รวม 100,000.- บาท

10. ผลที่คาดว่าจะได้รับ

ผู้ฝึกอบรมสามารถประยุกต์ใช้อัลตราซาวด์ ในการตรวจประเมินโครงสร้างและการทำงานของหัวใจทารกในครรภ์ได้อย่างเป็นระบบและมีความมั่นใจมากขึ้น และสามารถวินิจฉัยก่อนคลอดของโรคหัวใจพิการโดยกำเนิดตั้งแต่อายุครรภ์ยังน้อยด้วยความมั่นใจมากขึ้น

11. เอกสารอ้างอิง
  1. Tongsong T, Srisomboon J, Wanapirak C, Sirichotiyakul S, Pongsatha S, Polsrisuthikul T. Pregnancy outcome of threatened abortion with demonstrable fetal cardiac activity: a cohort study. J Obstet Gynaecol (Tokyo 1995) 1995;21:331-5.
  2. Tongsong T, Wanapirak C, Sirichotiyakul S. Placental thickness at mid-pregnancy as a predictor of Hb Bart’s disease. Prenat Diagn 1999;19:1027-30.
  3. Tongsong T, Wanapirak C, Sirichotiyakul S, Piyamongkol W, Chanprapaph P. Fetal sonographic cardiothoracic ratio at midpregnancy as a predictor of Hb Bart disease. J Ultrasound Med 1999;18:807-11.
  4. Tongsong T, Sirichotiyakul S, Sittiwangkul R, Wanapirak C. Prenatal sonographic diagnosis of cardiac hemangioma with postnatal spontaneous regression. Ultrasound Obstet Gynecol 2004;24:207-8.
  5. Tongsong T, Sirichotiyakul S, Sukpan K, Sittiwangkul R. Prenatal features of a truncus arteriosus with pulmonary atresia and pulmonary circulation derived from the ductus arteriosus. J Ultrasound Med 2004;23:1221-4.
  6. Tongsong T, Sittiwangkul R, Wanapirak C, Chanprapaph P. Prenatal diagnosis of isolated tricuspid valve atresia: report of 4 cases and review of the literature. J Ultrasound Med 2004;23:945-50.
  7. Tongsong T, Tatiyapornkul T. Cardiothoracic ratio in the first half of pregnancy. J Clin Ultrasound 2004;32:186-9.
  8. Tongsong T, Wanapirak C, Sirichotiyakul S, Chanprapaph P. Sonographic markers of hemoglobin Bart disease at midpregnancy. J Ultrasound Med 2004;23:49-55.
  9. Tongsong T, Chanprapaph P, Khunamornpong S, Sirichotiyakul S. Sonographic features of Ebstein anomaly associated with hydrops fetalis: a report of two cases. J Clin Ultrasound 2005;33:149-53.
  10. Tongsong T, Chanprapaph P, Sittiwangkul R, Sirichotiyakul S. Rupture of fetal ductus arteriosus aneurysm. Obstet Gynecol 2005;105:1275-8.
  11. Tongsong T, Iamthongin A, Wanapirak C, Piyamongkol W, Sirichotiyakul S, Boonyanurak P, et al. Accuracy of fetal heart-rate variability interpretation by obstetricians using the criteria of the National Institute of Child Health and Human Development compared with computer-aided interpretation. J Obstet Gynaecol Res 2005;31:68-71.
  12. Tongsong T, Khunamornpong S, Wanapirak C, Sirichotiyakul S. Prenatal sonographic diagnosis of truncus arteriosus associated with holoprosencephaly. J Clin Ultrasound 2005;33:193-6.
  13. Tongsong T, Sittiwangkul R, Khunamornpong S, Wanapirak C. Prenatal sonographic features of isolated hypoplastic left heart syndrome. J Clin Ultrasound 2005;33:367-71.
  14. Tongsong T, Sittiwangkul R, Wanapirak C, Sirichotiyakul S. Prenatal diagnosis of transposition-like double-outlet right ventricle with mitral valve atresia in heterotaxy syndrome. J Clin Ultrasound 2005;33:197-200.
  15. Piyamongkol W, Trungtawatchai S, Chanprapaph P, Tongsong T. Comparison of the manual stimulation test and the nonstress test: a randomized controlled trial. J Med Assoc Thai 2006;89:1999-2002.
  16. Tongsong T, Chanprapaph P, Sittiwangkul R, Khunamornpong S. Antenatal diagnosis of double outlet of right ventricle without extracardiac anomaly: a report of 4 cases. J Clin Ultrasound 2007;35:221-5.
  17. Srisupundit K, Piyamongkol W, Tongsong T. Identification of fetuses with hemoglobin Bart’s disease using middle cerebral artery peak systolic velocity. Ultrasound Obstet Gynecol 2009;33:694-7.
  18. Tongsong T, Tongprasert F, Srisupundit K, Luewan S. High fetal splenic artery peak velocity in fetuses with hemoglobin Bart disease: a preliminary study. J Ultrasound Med 2009;28:13-8.
  19. Tongsong T, Tongprasert F, Srisupundit K, Luewan S. Venous Doppler studies in low-output and high-output hydrops fetalis. Am J Obstet Gynecol 2010;203:488.e1-6.
  20. Tongsong T, Tongprasert F, Srisupundit K, Luewan S. The complete three-vessel view in prenatal detection of congenital heart defects. Prenat Diagn 2010;30:23-9.
  21. Jatavan T, Luewan S, Tongsong T. Outcomes of pregnancy complicated by heart disease at Maharaj Nakorn Chiang Mai Hospital. J Med Assoc Thai 2011;94:1159-63.
  22. Luewan S, Tongprasert F, Piyamongkol W, Wanapirak C, Tongsong T. Fetal liver length measurement at mid-pregnancy among fetuses at risk as a predictor of hemoglobin Bart’s disease. J Perinatol 2011;31:157-60.
  23. Luewan S, Yanase Y, Tongprasert F, Srisupundit K, Tongsong T. Fetal cardiac dimensions at 14-40 weeks’ gestation obtained using cardio-STIC-M. Ultrasound Obstet Gynecol 2011;37:416-22.
  24. Tongprasert F, Srisupundit K, Luewan S, Sirichotiyakul S, Piyamongkol W, Wanapirak C, et al. Reference ranges of fetal aortic and pulmonary valve diameter derived by STIC from 14 to 40 weeks of gestation. Prenat Diagn 2011;31:439-45.
  25. Tongsong T, Piyamongkol W, Tongprasert F, Srisupundit K, Luewan S. Fetal splenic artery peak velocity (SPA-PSV) at mid-pregnancy as a predictor of Hb Bart’s disease. Ultraschall Med 2011;32 Suppl 1:S41-5.
  26. Tongsong T, Wanapirak C, Piyamongkol W, Sirichotiyakul S, Tongprasert F, Srisupundit K, et al. Fetal ventricular shortening fraction in hydrops fetalis. Obstet Gynecol 2011;117:84-91.
  27. Traisrisilp K, Tongprasert F, Srisupundit K, Luewan S, Tongsong T. Reference ranges for the fetal cardiac circumference derived by cardio-spatiotemporal image correlation from 14 to 40 weeks’ gestation. J Ultrasound Med 2011;30:1191-6.
  28. Luewan S, Srisupundit K, Tongprasert F, Tongsong T. Normal reference ranges of inferior vena cava doppler indices from 14 to 40 weeks of gestation. J Clin Ultrasound 2012;40:214-8.
  29. Tongprasert F, Srisupundit K, Luewan S, Wanapirak C, Tongsong T. Normal reference ranges of ductus venosus Doppler indices in the period from 14 to 40 weeks’ gestation. Gynecol Obstet Invest 2012;73:32-7.
  30. Jatavan T, Tongsong T. Comparison of fetal cardiac spatiotemporal image correlation segmental analysis between cardiac- and body-based scrolling. J Ultrasound Med 2013;32:2125-9.
  31. Luewan S, Tongprasert F, Srisupundit K, Tongsong T. Fetal myocardial performance (Tei) index in fetal hemoglobin Bart’s disease. Ultraschall Med 2013;34:355-8.
  32. Mekjarasnapha M, Traisrisilp K, Luewan S, Srisupundit K, Tongprasert F, Tongsong T. Reference ranges for fetal septum primum excursion from 14 to 40 weeks’ gestation. J Ultrasound Med 2013;32:1729-34.
  33. Siwawong W, Tongprasert F, Srisupundit K, Luewan S, Tongsong T. Fetal cardiac circumference derived by spatiotemporal image correlation as a predictor of fetal hemoglobin Bart disease at midpregnancy. J Ultrasound Med 2013;32:1483-8.
  34. Tongsong T, Luewan S, Srisupundit K, Jatavan T. Hemodynamic assessment of indomethacin-induced fetal heart failure in high-output state. J Clin Ultrasound 2013;41:438-40.
  35. Traisrisilp K, Tongprasert F, Srisupundit K, Luewan S, Tongsong T. Reference ranges of ductus arteriosus derived by cardio-spatiotemporal image correlation from 14 to 40 weeks of gestation. Gynecol Obstet Invest 2013;76:25-31.
  36. Luewan S, Tongprasert F, Srisupundit K, Tongsong T. Inferior vena cava Doppler indices in fetuses with hemoglobin Bart’s hydrops fetalis. Prenat Diagn 2014;34:577-80.
  37. Luewan S, Tongprasert F, Srisupundit K, Traisrisilp K, Tongsong T. Reference ranges of myocardial performance index from 12 to 40 weeks of gestation. Arch Gynecol Obstet 2014;290:859-65.
  38. Thathan N, Traisrisilp K, Luewan S, Srisupundit K, Tongprasert F, Tongsong T. Screening for hemoglobin Bart’s disease among fetuses at risk at mid-pregnancy using the fetal cardiac diameter to biparietal diameter ratio. BMC Pregnancy Childbirth 2014;14:230.
  39. Tongprasert F, Srisupundit K, Luewan S, Tongsong T. Comparison of cardiac troponin T and N-terminal pro-B-type natriuretic peptide between fetuses with hemoglobin Bart’s disease and nonanemic fetuses. Prenat Diagn 2014;34:864-9.
  40. Luewan S, Tongprasert F, Srisupundit K, Tongsong T. Fetal cardiac Doppler indices in fetuses with hemoglobin Bart’s disease at 12-14weeks of gestation. Int J Cardiol 2015;184:614-6.
  41. Tongsong T, Tongprasert F, Srisupundit K, Luewan S, Traisrisilp K. Cardio-STIC (spatio-temporal image correlation) as genetic ultrasound of fetal Down syndrome. J Matern Fetal Neonatal Med 2015;28:1943-9.
  42. Traisrisilp K, Tongprasert F, Srisupundit K, Luewan S, Sukpan K, Tongsong T. Prenatal differentiation between truncus arteriosus (Types II and III) and pulmonary atresia with ventricular septal defect. Ultrasound Obstet Gynecol 2015;46:564-70.
  43. Jatavan P, Kemthong W, Charoenboon C, Tongprasert F, Sukpan K, Tongsong T. Hemodynamic studies of isolated absent ductus venosus. Prenat Diagn 2016;36:74-80.
  44. Jatavan P, Tongprasert F, Srisupundit K, Luewan S, Traisrisilp K, Tongsong T. Quantitative Cardiac Assessment in Fetal Tetralogy of Fallot. J Ultrasound Med 2016;35:1481-8.
  45. Sirilert S, Tongprasert F, Srisupundit K, Luewan S, Tongsong T. Fetal septum primum excursion (SPE) and septum primum excursion index (SPEI) as sonomarkers of fetal anemia: using hemoglobin Bart’s fetuses as a study model. Prenat Diagn 2016;36:680-5.
  46. Srisupundit K, Tongprasert F, Luewan S, Traisrisilp K, Jatavan P, Tongsong T. Effect of cordocentesis on fetal myocardial performance. Prenat Diagn 2016;36:871-4.
  47. Tongsong T, Luewan S, Jatavan P, Tongprasert F, Sukpan K. A Simple Rule for Prenatal Diagnosis of Total Anomalous Pulmonary Venous Return. J Ultrasound Med 2016;35:1601-7.
  48. Tongsong T, Tongprasert F, Srisupundit K, Luewan S, Traisrisilp K. Ventricular Diastolic Function in Normal Fetuses and Fetuses with Hb Bart’s Disease Assessed by Color M-Mode Propagation Velocity using Cardio-STIC-M (Spatio-Temporal Image Correlation M-Mode). Ultraschall Med 2016;37:492-6.
  49. Traisrisilp K, Charoenkwan P, Tongprasert F, Srisupundit K, Tongsong T. Hemodynamic assessment of hydrops foetalis secondary to transient myeloproliferative disorder associated with foetal Down syndrome: A case report and literature review. J Obstet Gynaecol 2016;36:861-4.
  50. Tongprasert F, Sittiwangkul R, Jatavan P, Tongsong T. Prenatal Diagnosis of Aortopulmonary Window: A Case Series and Literature Review. J Ultrasound Med 2017;36:1733-8.
  51. Tongprasert F, Srisupundit K, Luewan S, Traisrisilp K, Jatavan P, Tongsong T. Fetal isovolumetric time intervals as a marker of abnormal cardiac function in fetal anemia from homozygous alpha thalassemia-1 disease. Prenat Diagn 2017;37:1028-32.
  52. Wanapirak C, Sirichotiyakul S, Luewan S, Srisupundit K, Tongprasert F, Tongsong T. Appearance of Abnormal Cardiothoracic Ratio of Fetuses with Hemoglobin Bart’s Disease: Life Table Analysis. Ultraschall Med 2017;38:544-8.
  53. Jatavan P, Chattipakorn N, Tongsong T. Fetal hemoglobin Bart’s hydrops fetalis: pathophysiology, prenatal diagnosis and possibility of intrauterine treatment. J Matern Fetal Neonatal Med 2018;31:946-57.
  54. Rueangdetnarong H, Sekararithi R, Jaiwongkam T, Kumfu S, Chattipakorn N, Tongsong T, et al. Comparisons of the oxidative stress biomarkers levels in gestational diabetes mellitus (GDM) and non-GDM among Thai population: cohort study. Endocr Connect 2018;7:681-7.
  55. Tongprasert F, Sittiwangkul R, Lerthiranwong T, Tongsong T. Prenatal sonographic monitoring of progressive cardiac damages caused by anti-Ro antibodies: A case report. J Clin Ultrasound 2018;46:347-50.
  56. Tongsong T, Tongprasert F, Srisupundit K, Luewan S, Traisrisilp K, Jatavan P. Fetal Cardiac Remodeling in Response to Anemia: Using Hemoglobin Bart’s Disease as a Study Model. Ultraschall Med 2018.
  57. Sirilert S, Tongprasert F, Srisupundit K, Tongsong T, Luewan S. Z Score Reference Ranges of Fetal Cardiothoracic Diameter Ratio. J Ultrasound Med 2019;38:999-1007.

 

FetalEchoXI

ตารางกำหนดการประชุม

Pre-Seminar course: วันจันทร์ที่ 21 กันยายน 2563: 9.00-16.00 น. โดยคณาจารย์

Pre-conference Course: โดยคณาจารย์

  • Cardiac Embryology (8.30-10.00 น.) : นพ. ธีระ ทองสง
  • The benefits of Colour M-mode in a normal fetal heart (10.00-10.30) : นพ. วัชระ จามจุรีรักษ์
  • Standard cardiac exam (10.45-12.00 น.) :  พญ. สุพัตรา ศิริโชติยะกุล
  • Physics of ultrasound (13.00-14.00 น.) : นพ. ธีระ ทองสง
  • Image optimization (ปรับภาพ) (14.00-15..00 น.) : พญ. สุชยา ลือวรรณ
  • Hands-on live demonstration : พญ. สุชยา ลือวรรณ นพ. ธีระ ทองสง นพ. วัชระจามจุรีรักษ์

{tabulizer:style[gr.alterora.elemental_1_yellow_green.css]}

วันอังคารที่ 22 กันยายน 2563
08.15 – 08.45 น. ลงทะเบียน – Spot Diagnosis ศ. นพ. ธีระ ทองสง
08.45 – 09.00 น. Opening Ceremony คณบดี / หัวหน้าภาควิชาฯ
09.00 – 10.00 น. Right heart anomaly ศ. พญ. สุพัตรา ศิริโชติยะกุล
10.00 – 10.15 น. ———————-พัก———————–
10.15 – 11.00 น. Tip & Tricks XI : 3VV-3VT view ศ. นพ. ธีระ ทองสง
11.00 – 12.00 น. Cardiac function : Brain-heart relationship ผศ. ดร. นพ. ภูดิศ เจต๊ะวรรณ
12.00 – 13.00 น. ———รับประทานอาหารกลางวัน———-
13.00 – 13.45 น. First trimester scan รศ. พญ. สุชยา ลือวรรณ
13.45 – 14.30 น. Amazing five-chamber view ศ. นพ. ธีระ ทองสง
14.30 – 14.45 น. ———————-พัก———————–
14.45 – 15.45 น. Genetic aspect of congenital heart ผศ. พญ. กุณฑรี ไตรศรีศิลป์ หมื่นพินิจ
15.45 – 16.30 น. Case presentation I: Echo-patho correlation อ. พญ. ศิรินาถ ศิริเลิศ / รศ. พญ. กรกนก สุขพันธ์

{tabulizer:style[gr.alterora.elemental_1_orange.css]}

วันพุธที่ 23 กันยายน 2563
08.15 – 9.15 น. Case presentation II เฟลโล่ / ทีมงาน
09.15 – 10.15 น. DORV/TGA/TOF รศ. พญ. สุชยา ลือวรรณ
10.15 – 10.30 น. ———————-พัก———————–
10.30 – 11.00 น. Truncus arteriosus ศ นพ. ธีระ ทองสง
11.00 – 12.00 น. Fetal heart failure รศ. พญ. เกษมศรี ศรีสุพรรณดิฐ
12.00 – 13.00 น. ———รับประทานอาหารกลางวัน———-
13.00 – 14.00 น. Arrhythmia I รศ. พญ. เฟื่องลดา ทองประเสริฐ
14.00 – 14.45 น. Arrhythmia II รศ. พญ. เฟื่องลดา ทองประเสริฐ
14.45 – 15.00 น. ———————-พัก———————–
15.00 – 15.45 น. Left heart anomalies ศ. นพ. ธีระ ทองสง
15.45 – 16.15 น. Bizarre clip quiz รศ. นพ. ชเนนทร์ วนาภิรักษ์
16.15 – 16.30 น. Closing Ceremony ร.ศ. พ.ญ. พรรณี ศิริวรรธนาภา/รศ. นพ. ชเนนทร์ วนาภิรักษ์

 

Read More

About MFM

เกี่ยวกับอะไร?

  • การบริบาลครรภ์เสี่ยงสูง (High risk pregnancy management)
  • การประเมินสุขภาพทารกในครรภ์ (Fetal surveillance)
  • การคัดกรองและการวินิจฉัยก่อนคลอด (Prenatal screening and diagnosis)
  • การตรวจคลื่นเสียงความถี่สูงทางสูติศาสตร์ (Obstetric ultrasound) ในระดับสูง
  • การรักษาทารกในครรภ์ (Fetal therapy)

ความคาดหวัง

  • สุขภาพอนามัยแม่และเด็ก ตลอดจนครอบครัวดีขึ้น
  • อัตราภาวะทุพพลภาพและการตายปริกำเนิดลดลง
  • อัตราภาวะทุพพลภาพและการตายของมารดาลดลง
  • มีความก้าวหน้าทางวิทยาการด้านเวชศาสตร์มารดาและทารกมากขึ้นอย่างสอดคล้องกับสังคมไทย
  • มีการวิจัยค้นคว้าและเผยแพร่สู่ระดับนานาชาติเพิ่มมากขึ้น
  • ยกระดับมาตรฐานวิชาชีพสูตินรีแพทย์ของประเทศไทยสู่สากล
  • เพิ่มแพทย์ประกอบวิชาชีพที่ทรงคุณธรรม อันเป็นตัวอย่างของคนในสังคมต่อไป

พันธกิจ

รับผิดชอบในการบริบาลมารดาและทารกในครรภ์ที่มีปัญหาซับซ้อน อันประกอบด้วยการสร้างเสริมสุขภาพ ป้องกัน รักษา และฟื้นฟูสภาพ รวมทั้งบริหารทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ผลิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์มารดาและทารก ศึกษาค้นคว้าอย่างต่อเนื่อง ก่อให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ ๆ และเผยแพร่ไปสู่สาธารณะ อันจะนำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรืองทางวิทยาการด้านเวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์ สู่สังคมไทย และนานาชาติ โดยได้รับการส่งเสริมและรับประกันคุณภาพจากราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย

History MFM

เมื่อปี 2520 ร.ศ.พ.ญ.สุรีย์ สิมารักษ์ เป็นผู้บุกเบิกในการบริบาลผู้ป่วยครรภ์เสี่ยงสูงเป็นพิเศษ และได้แยกหอผู้ป่วยโรคพิษแห่งครรภ์ออกมา พร้อมกับเริ่มต้นด้วยการเปิดคลินิกครรภ์เสี่ยงสูง นับเป็นจุดต้นการก่อตัวของเวชศาสตร์มารดาและทารกท่ามกลางขีดจำกัดของทรัพยากรในการดูแล และท่านได้พัฒนาหน่วยนี้อย่างต่อเนื่องจนสามารถให้บริการการดูแลครรภ์เสี่ยงสูงได้มากขึ้นและดีขึ้น เป็นลำดับ เช่น มีเครื่อง fetal monitor เครื่องแรกเมื่อปี 2525 ในระยะนั้นมีจำนวนการคลอดประมาณ 7000-8000 รายต่อปี ได้มีการแยกหน่วยบริบาลครรภ์เสี่ยงสูงอย่างเป็นรูปธรรม ปี 2532: มีการแยก หน่วยอนุสาขาเวชศาสตร์มารดาและทารกอย่างเป็นทางการ โดยมีหัวหน้าหน่วยคือ ร.ศ.พ.ญ.สุรีย์ สิมารักษ์ และทีมงานได้แก่ น.พ.ชัยรัตน์ คุณาวิกติกุล (หัวหน้าหน่วยในปี 2536-2540, พ.ญ.พรรณี ศิริวรรธนาภา (หัวหน้าหน่ายจากปี 2540 จนถึงปัจจุบัน), น.พ. ธีระ ทองสง, น.พ. ชเนนทร์ วนาภิรักษ์

    • เปิดบริการตรวจคลื่นเสียงความถี่สูงเป็นครั้งแรกโดยร.ศ.แพทย์หญิงพรรณี ศิริวรรธนาภา ในปี 2531
    •  สามารถให้บริการเจาะน้ำครำเพื่อวินิจฉัยโครโมโซมผิดปกติ ตั้งแต่ปี 2528
    • สามารถให้บริการเจาะเลือดสายสะดือทารกโดยร.ศ.น.พ. ชัยรัตน์ คุณาวิกติกุล เป็นครั้งแรกในปี 2531
    • เปิดบริการอัลตราซาวด์อย่างเต็มรูปแบบ และพัฒนามาเป็น referral center พร้อมทั้งฝึกอบรม แพทย์ประจำบ้านด้านอัลตราซาวด์ทางสูติ-นรีเวช ตั้งแต่ปี 2532 เป็นต้นมา
    • เปิดบริการคัดกรองและวินิจฉัยก่อนคลอดธาลัสซีเมียชนิดรุนแรง โดย ร.ศ.น.พ.ชเนนทร์ วนาภิรักษ์ และศ.น.พ. ต่อพงษ์ สงวนเสริมศรี เป็นผู้เริ่มต้นบุกเบิกตั้งแต่ปี 2537
    • เปิดฝึกอบรมต่อยอดสาขาเวชศาสตร์มารดาและทารก ต่อเนื่องมาจากปี 2546 จนกระทั่งถึงปัจจุบันนับว่าหน่วยงานเล็ก ๆ นี้ยังคงเติบโตด้านบริการและวิชาการอย่างต่อเนื่องตามสติกำลัง และมีสมาชิกทีมงานที่เข้มแข็งมาร่วมทีมอีกหลายท่าน คือ พ.ญ.สุพัตรา ศิริโชติยะกุล, น.พ.วีรวิทย์ ปิยะมงคล, น.พ.พฤหัส จันทร์ประภาพ (ย้ายไปอยู่ MFM ศิริราช ปี 2548) พ.ญ. เฟื่องลดา ทองประเสริฐ (2548) พ.ญ. เกษมศรี ศรีสุพรรณดิฐ (2549) พ.ญ. สุชยา ลือวรรณ (2551) และได้ยังมีบุคลากรที่ไม่อาจเอ่ยนามได้หมด (โดยเฉพาะพี่ต๋อย นาย ออม อุบล)

อาจารย์พิเศษ / อาจารย์ที่เกษียณอายุราชการไปแล้ว

  1. ร.ศ. พ.ญ. สุรีย์ สิมารักษ์, พ.บ.; Associate Professor Suri Simarak, M.D. (อดีตหัวหน้าหน่วย)
  2. ร.ศ.น.พ.ชัยรัตน์ คุณาวิกติกุล, พ.บ.; Associate Professor Chairat Kunaviktikul, M.D. (อดีตหัวหน้าหน่วย)
  3. ร.ศ.พ.ญ.พรรณี ศิริวรรธนาภา, พ.บ.; Associate Professor Pannee Sirivatanpa, M.D. (อดีหัวหน้าหน่วย)

อาจารย์ประจำหน่วย

  1. ศ.นพ. ธีระ ทองสง, พ.บ.;Professor Theera Tongsong, M.D.
  2. รศ.นพ. ชเนนทร์ วนาภิรักษ์, พ.บ.; Associate Professor Chanane Wanapirak, M.D. (หัวหน้าหน่วย)
  3. รศ. ดร. นพ. วีรวิทย์ ปิยะมงคล, พ.บ.; Associate Professor Dr. Wirawit Piyamongkol, M.D., PhD.
  4. ศ.พญ. สุพัตรา ศิริโชติยะกุล, พ.บ.; Professor Supatra Sirichotiyakul, M.D.
  5. รศ. พญ. เฟื่องลดา ทองประเสริฐ, พ.บ.; Associate Professor Professor Fuanglada Tongprasert, M.D.
  6. รศ.พญ. เกษมศรี ศรีสุพรรณดิฐ, พ.บ.; Associate Professor Kasemsri Srisupundit, M.D.
  7. รศ.พญ. สุชยา ลือวรรณ, พ.บ.; Associate Professor Suchaya Luewan, M.D.
  8. รศ.พญ. กุณฑรี ไตรศรีศิลป์, พ.บ.: Associate Professor Kuntharee Traisrisilp, M.D.
  9. ผศ.นพ. ภูดิศ เจต๊ะวรรณ, พ.บ.; Assistant Professor Phudit Jatavan, M.D.
  10. อ. พญ. ศิรินาถ ศิริเลิศ, พ.บ.; Instructor Sirinart Sirilert, M.D.

ทีมงานสายสนับสนุน

  1. รัตนาภรณ์ เศขรฤทธิ์, วท.บ.; Ratanaporn Sekararithi BSc.
  2. อภิรดี ตรรกไพจิตร, วท.บ.; Apiradee Taggapichitti, BSc.
  3. มัทนาพร วงศ์ใหญ่, Muttanaporn Wongyai
  4. สุกัญญา จันตา; Sukunya Junta
Read More

ขอแสดงความยินดีกับ นพ.แก้วอุดร ธรรมวงศ์

🎉 ขอแสดงความยินดีกับ นพ.แก้วอุดร ธรรมวงศ์ ที่สอบป้องกันวิทยานิพนธ์ หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต(หลักสูตรนานาชาติ) สาขาวิชาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา ผ่านลุล่วงไปด้วยดี 👍

Read More

2562-2565: วิศิษฎ์ จันทร์คุณาภาส

17_2L

วิศิษฎ์ จันทร์คุณาภาส (ทีวี)
Wisit Chankhunaphas

รุุ่นที่ 17 ปี 2019-2021

รุ่นที่เข้ารับการฝึกอบรม17
ปี พ.ศ. ที่เข้ารับการฝึกอบรม 2562
ชื่อ สกุล (ไทย) วิศิษฎ์ จันทร์คุณาภาส
ชื่อ สกุล (อังกฤษ) Wisit Chankhunaphas
วัน เดือน ปีเกิด 2534-03-11 00:00:00
เพศชายไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์wisit.chank@gmail.com
สถานที่ทำงานปัจจุบันโรงพยาบาลพุทธชินราช จ.พิษณุโลกเบอร์โทรศัพท์ที่ทำงาน :
ที่อยู่ปัจจุบันห้อง 802 ตึก Parlor คอนโด Palmspring niman ต.ศรีภูมิ อ.เมือง จ.เชียงใหม่เบอร์โทรศัพท์บ้าน
ประวัติการศึกษา/ฝึกอบรม
คณะ/สถาบันสาขาวิชาปีที่สำเร็จการศึกษา ปริญญา/คุณวุฒิที่ได้รับ
คณะแพทยศาสตร์ /มหาวิทยาลัยเชียงใหม่แพทยศาสตร์2558แพทยศาสตร์บัณฑิต (เกียรตินิยม อันดับ 1)
บัณฑิตวิทยาลัยมหาวิทยาลัยเชียงใหม่สูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา2561ประกาศนียบัตรบัณฑิตชั้นสูง วิทยาศาสตร์การแพทย์คลินิก สาขาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา
แพทยสภา (ฝึกอบรมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่)สูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา2562วุฒิบัตรแสดงความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรม สาขาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา
แพทยสภา (ฝึกอบรมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่)เวชศาสตร์มารดาและทารก2564วุฒิบัตรแสดงความรู้ความชำนาญเฉพาะทาง สาขาเวชศาสตร์มารดาและทารก
ต้นสังกัดแพทย์ใช้ทุน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ผลงานวิจัยระหว่างการฝึกอบรมChankhunaphas W, Tongsong T, Wanapirak C, Sirichotiyakul S, Tongprasert F, Srisupundit K, Luewan S, Traisrisilp K, Jatavan P, Sirilert S. Comparison of the performances of middle cerebral artery peak systolic velocity (MCA-PSV) and cardiothoracic diameter ratio (CTR) in predicting fetal anemia: Using fetal hemoglobin Bart’s disease as a study model. Fetal Diagn Ther 2021; (In Press)

Read More

2562-2565: เพ็ญพรรณ บุตรชัยงาม

17_1L

เพ็ญพรรณ บุตรชัยงาม (พีพี)
Phenphan Bootchaingam

รุุ่นที่ 17 ปี 2019-2021

รุ่นที่เข้ารับการฝึกอบรม17
ปี พ.ศ. ที่เข้ารับการฝึกอบรม 2562
ชื่อ สกุล (ไทย) เพ็ญพรรณ บุตรชัยงาม
ชื่อ สกุล (อังกฤษ) Phenphan Bootchaingam
วัน เดือน ปีเกิด 2526-12-19 00:00:00
เพศหญิงไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์phenphanboot@gmail.com
สถานที่ทำงานปัจจุบันโรงพยาบาลเลย จ.เลยเบอร์โทรศัพท์ที่ทำงาน :950438473
ที่อยู่ปัจจุบันเลขที่ 385/2 ถ.เลย-ด่านซ้าย ต.กุดป่อง อ.เมือง จ.เลย 42000เบอร์โทรศัพท์บ้าน 085-0148489
ประวัติการศึกษา/ฝึกอบรม
คณะ/สถาบันสาขาวิชาปีที่สำเร็จการศึกษา ปริญญา/คุณวุฒิที่ได้รับ
คณะแพทยศาสตร์ /มหาวิทยาลัยขอนแก่นแพทยศาสตร์2551แพทยศาสตร์บัณฑิต
บัณฑิตวิทยาลัยมหาวิทยาลัยเชียงใหม่สูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา2556ประกาศนียบัตรบัณฑิตชั้นสูง วิทยาศาสตร์การแพทย์คลินิก สาขาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา
แพทยสภา (ฝึกอบรมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่)สูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา2557วุฒิบัตรแสดงความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรม สาขาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา
แพทยสภา (ฝึกอบรมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่)เวชศาสตร์มารดาและทารก2564วุฒิบัตรแสดงความรู้ความชำนาญเฉพาะทาง สาขาเวชศาสตร์มารดาและทารก
ต้นสังกัดโรงพยาบาลเลย จ.เลย
ผลงานวิจัยระหว่างการฝึกอบรมBootchaingam P, Charoenratana C, Tongsong T, Luewan S. Effectiveness of placental volume measured by virtual organ computer-aided analysis in prediction of fetal hemoglobin Bart's disease in late first trimester. J Clin Ultrasound 2021;49:533-7.

Read More

2561-2563: ราชาวดี ตันวิสุทธิ์

16_2L

ราชาวดี ตันวิสุทธิ์ (อ้ม)
Rajavadi Tanvisut

รุุ่นที่ 16 ปี 2018-2020

รุ่นที่เข้ารับการฝึกอบรม16
ปี พ.ศ. ที่เข้ารับการฝึกอบรม 2561
ชื่อ สกุล (ไทย) ราชาวดี ตันวิสุทธิ์
ชื่อ สกุล (อังกฤษ) Rajavadi Tanvisut
วัน เดือน ปีเกิด 2533-03-07 00:00:00
เพศหญิงไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์trajavadi@gmail.com
สถานที่ทำงานปัจจุบันเบอร์โทรศัพท์ที่ทำงาน :
ที่อยู่ปัจจุบันวันพลัสคอนโดมีเนียม สวนดอก 4 ห้อง 305 ถ.สุเทพ ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ 50200เบอร์โทรศัพท์บ้าน 083-7676310
ประวัติการศึกษา/ฝึกอบรม
คณะ/สถาบันสาขาวิชาปีที่สำเร็จการศึกษา ปริญญา/คุณวุฒิที่ได้รับ
คณะแพทยศาสตร์ /มหาวิทยาลัยนเรศวรสาขาวิชา2557แพทยศาสตร์บัณฑิต
บัณฑิตวิทยาลัยมหาวิทยาลัยเชียงใหม่แพทยศาสตร์2560ประกาศนียบัตรบัณฑิตชั้นสูง วิทยาศาสตร์การแพทย์คลินิก สาขาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา
แพทยสภา (ฝึกอบรมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่)สูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา2561วุฒิบัตรแสดงความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรม สาขาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา
แพทยสภา (ฝึกอบรมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่)สูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา2563วุฒิบัตรแสดงความรู้ความชำนาญเฉพาะทาง สาขาเวชศาสตร์มารดาและทารก
ต้นสังกัดแพทย์ใช้ทุน คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ผลงานวิจัยระหว่างการฝึกอบรมTanvisut R, Wanapirak C, Piyamongkol W, Sirichotiyakul S, Tongprasert F, Srisupundit K, et al. Cordocentesis-associated fetal loss and risk factors: single-center experience with 6650 cases. Ultrasound Obstet Gynecol 2020;56:664-71.

Read More

2561-2563: ปกรณ์ จักษุวัชร

16_1L

ปกรณ์ จักษุวัชร (กร)
Pakorn Chaksuwat

รุุ่นที่ 16 ปี 2018-2020

รุ่นที่เข้ารับการฝึกอบรม16
ปี พ.ศ. ที่เข้ารับการฝึกอบรม 2561
ชื่อ สกุล (ไทย) ปกรณ์ จักษุวัชร
ชื่อ สกุล (อังกฤษ) Pakorn Chaksuwat
วัน เดือน ปีเกิด 2531-07-13 00:00:00
เพศชายไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์PKCSWMD@hotmail.com
สถานที่ทำงานปัจจุบันโรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ จ. นครสวรรค์เบอร์โทรศัพท์ที่ทำงาน :
ที่อยู่ปัจจุบันเลขที่ 8/2 หมู่ที่ 12 ถนนนครสวรรค์-พิษณุโลก ตำบลบางม่วง อ.เมืองนครสวรรค์ จ. นครสวรรค์ 60000เบอร์โทรศัพท์บ้าน
ประวัติการศึกษา/ฝึกอบรม
คณะ/สถาบันสาขาวิชาปีที่สำเร็จการศึกษา ปริญญา/คุณวุฒิที่ได้รับ
คณะแพทยศาสตร์ /มหาวิทยาลัยนเรศวรแพทยศาสตร์2555แพทยศาสตร์บัณฑิต
บัณฑิตวิทยาลัยมหาวิทยาลัยเชียงใหม่สูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา2559ประกาศนียบัตรบัณฑิตทางสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา
แพทยสภา (ฝึกอบรมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่)สูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา2560วุฒิบัตรแสดงความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรม สาขาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา
แพทยสภา (ฝึกอบรมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่)เวชศาสตร์มารดาและทารก2563วุฒิบัตรแสดงความรู้ความชำนาญเฉพาะทาง สาขาเวชศาสตร์มารดาและทารก
ต้นสังกัดโรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ จ. นครสวรรค์
ผลงานวิจัยระหว่างการฝึกอบรมChaksuwat P, Wanapirak C, Piyamongkol W, Sirichotiyakul S, Tongprasert F, Srisupundit K, et al. A comparison of pregnancy outcomes after second-trimester amniocentesis between cases with penetration of the placenta and nonpenetration. J Matern Fetal Neonatal Med 2020:1-6.

Read More