Myoma & Adenomyosis
ชัยเลิศ พงษ์นริศร
Leiomyoma
ความหมาย
เป็นเนื้องอกของกล้ามเนื้อเรียบซึ่งพบได้ในอวัยวะทั่วร่างกายที่มีกล้ามเนื้อเรียบ ในอุ้งเชิงกรานตำแหน่งที่พบได้มากที่สุดคือ ตัวมดลูก (uterine corpus) บางครั้งอาจพบที่ปากมดลูก,ท่อนำไข่หรือ round ligament ได้ มีหลายชื่อได้แก่ myoma, fibroma, fibromyoma, fibroleiomyoma หรือ fibroid แต่คำที่เหมาะสมที่สุดคือ leiomyoma เพราะบอกถึงจุดกำเนิดของเนื้องอกว่ามาจากกล้ามเนื้อเรียบ
อุบัติการณ์
เป็นเนื้องอกในอุ้งเชิงกรานที่พบบ่อยที่สุดทางนรีเวช และยังเป็นเนื้องอกของมดลูกที่พบบ่อยที่สุดอุบัติการณ์สูงสุดในช่วง 40-50 ปี พบบ่อยในสตรีที่ยังไม่เคยตั้งครรภ์ (nullipara) อุบัติการณ์แน่นอนของโรคนี้ไม่ทราบ ประมาณว่า 20-25 % ของสตรีอายุมากกว่า 35 ปี มีเนื้องอกชนิดนี้อยู่ พบเนื้องอกนี้ในคนผิวดำมากกว่าผิวขาว 3-4 เท่า
สาเหตุ
สาเหตุที่แท้จริงยังไม่ทราบ เนื้องอกของกล้ามเนื้อมดลูกแต่ละก้อนมีต้นกำเนิดมาจากเซลล์กล้ามเนื้อมดลูกเพียงหนึ่งเซลล์ (monoclonal) พบประวัติเนื้องอกชนิดนี้ในครอบครัวได้บ่อย บ่งชี้ว่า gene encoding อาจมีส่วนในการเกิดเนื้องอกชนิดนี้ ปัจจุบันเชื่อว่าเนื้องอกเริ่มต้นจาก somatic mutationของเซลล์กล้ามเนื้อมดลูก (myocyte) ภายใต้อิทธิพลของเอสโตรเจน โปรเจสเตอโรน และ growth factor เช่น EGF, IGF1, PDGF ทั้งเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนมีส่วนในการกระตุ้นให้เนื้องอกโตขึ้น เพราะพบเนื้องอกชนิดนี้น้อยมากในวัยก่อนมีระดู เนื้องอกเกิดและโตขึ้นในวัยเจริญพันธ์ส่วนใหญ่มีขนาดเล็กลงภายหลังวัยหมดระดู เนื้องอกโตขึ้นได้บ่อยในสตรีตั้งครรภ์และในสตรีที่รับประทานยาคุมกำเนิดชนิดที่มีเอสโตรเจนขนาดสูง ความเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้ลดลงในสตรีที่มีบุตรหลายคน สูบบุหรี่ ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นในสตรีที่ไม่เคยมีบุตร อ้วน
ชนิดของเนื้องอก
แบ่งตามตำแหน่งของเนื้องอกในมดลูก
- ชนิดอยู่ใต้เยื่อบุโพรงมดลูก เรียกว่า Submucous leiomyoma พบ 5-10 % อาจโตขึ้นและเกิดเป็น pedunculated submucous แล้วยื่นพ้นปากมดลูกลงไปในช่องคลอดเรียกว่า prolapse submucous leiomyoma
- ชนิดอยู่ในกล้ามเนื้อมดลูก เรียกว่า Intramural (interstitial) leiomyoma พบบ่อยที่สุด
- ชนิดอยู่ใต้เยื่อบุผิวมดลูก เรียกว่า Subserous (subperitoneal) leiomyoma แบ่งย่อยออกเป็น
– pedunculated subserous leiomyoma
– intraligamentary leiomyoma เกิดจาก subserous tumor โตเข้าไปใน broad ligament อาจไปกดทับ ureter หรือเส้นเลือดในอุ้งเชิงกรานได้
– parasitic leiomyoma พบน้อยมาก ก้อนเนื้องอกได้รับเลือดมาเลี้ยงจากอวัยวะใกล้เคียง เช่น
omentum, peritoneum, visceral organ อื่น ๆ จนในที่สุดขั้วหลุดออกจากตัวมดลูก
ลักษณะทางพยาธิวิทยา
เนื้องอกมักมีหลายก้อน, ขนาดต่าง ๆ กันเมื่อดูด้วยตาเปล่าเนื้องอกมีสีเทาอ่อน หรือขาวอมชมพูขึ้นกับเลือดที่มาเลี้ยง มี pseudocapsule หุ้มอยู่ ซึ่งเกิดจากก้อนเนื้องอกโตและไปกดเบียดกล้ามเนื้อมดลูกปกติที่อยู่รอบ ๆ จนแบน เมื่อผ่าออกดูหน้าตัดมีลักษณะ glistening white เห็นมัดกล้ามเนื้อเรียบเรียงกันเป็นวงๆ (fasciculated pattern) คล้ายลายก้นหอย (whorl like) ลักษณะทางกล้องจุลทรรศน์พบใยกล้ามเนื้อเรียบหลาย ๆ ขนาดเรียงตัวไร้ทิศทางแน่นอน (interlacing pattern) เซลล์รูปร่างคล้ายกระสวย (spindle) มี elongated nucleus และมี mitosis น้อยกว่า 5 ต่อ 10 high power fields (HPF)
อาการและอาการแสดง
ส่วนใหญ่ไม่มีอาการ มีเพียง 20-50 % เท่านั้นที่มีอาการ เช่น
- เลือดออกผิดปกติ: เป็นอาการที่พบบ่อยที่สุดคือ ประมาณ 1 ใน 3 ของผู้ป่วยที่มีอาการ โดยพบมากสุดคือ menorrhagia แต่อาจมีอาการ metrorrhagia, menometrorrhagia หรือ intermenstrual bleeding ก็ได้
- อาการจากการกดเบียด (Pressure symptoms) : มักเป็นอาการเกี่ยวกับทางเดินปัสสาวะเช่น urgency, frequency of urination, urinary incontinence, urinary retention ในรายที่ก้อนโตมากๆ อาจไปกดท่อไต โดยเฉพาะด้านขวาพบมากว่าด้านซ้าย 3-4 เท่า ทำให้เกิดภาวะ hydroureter และ hydronephrosis เนื้องอกอาจไปกด rectosigmoid colon เกิดอาการท้องผูก นอกจากนี้ยังทำให้เกิดเลือดคั่งในอุ้งเชิงกรานทำให้เกิด varicosity และบวมที่ขาได้
- อาการปวดท้องหรือถ่วง ๆ ในอุ้งเชิงกราน หรือ dyspareunia พบได้ประมาณ 1 ใน 3 ของผู้ป่วยที่มีอาการ สาเหตุแห่งอาการปวดมีหลายสาเหตุ เช่น
- อาการปวดระดู (dysmenorrheal) พบบ่อยที่สุด
- twisted pedunculated subserous leiomyoma ซึ่งพบบ่อยในระหว่างตั้งครรภ์ และหลังวัยหมดระดู
- degeneration โดยเฉพาะอย่างยิ่ง carneous หรือ red degeneration ซึ่งพบว่าปวดรุนแรงและมี peritoneal irritation เฉพาะที่ร่วมกับมีไข้ leukocytosis ได้
- การติดเชื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง prolapsed pedunculated submucous type
- Abdominal distortion คลำได้ก้อน firm, irregular nodula ทางหน้าท้อง
- Rapid growth เนื้องอกที่โตขึ้นเร็วในวัยก่อนหมดระดูอาจมีสาเหตุจากการตั้งครรภ์, การรับประทานยาคุมกำเนิดที่มีเอสโตรเจนขนาดสูง ในสตรีวัยหมดระดูการที่เนื้องอกมีขนาดโตขึ้นควรสงสัยมะเร็งไว้ก่อน โดยอาจจะเป็น sarcomatous change ของ leiomyoma เองซึ่งอุบัติการณ์โดยรวมๆ ประมาณ 0.1-0.5 %
- ภาวะมีบุตรยาก มีสาเหตุมาจาก leiomyoma พบได้น้อย (2-10 % ของผู้ป่วย) เนื้องอกชนิด submucous หรือ intramural ขนาดใหญ่อาจเป็นสาเหตุของการแท้งได้
- ภาวะร่วมอื่น ๆ เช่น iron deficiency anemia, polycythemia, bowel obstruction, ascites ฯลฯ
การวินิจฉัย
มักอาศัยประวัติดังกล่าวร่วมกับการตรวจภายในพบมดลูกโต รูปร่างผิดปกติ ผิวไม่เรียบเป็นตะปุ่มตะป่ำ,
แข็ง บางครั้งอาจจำเป็นต้องทำการตรวจภายในขณะดมยาสลบ เช่น ในผู้ป่วยที่ยังโสด, อ้วนหรือหน้าท้องเกร็งมาก สำหรับการสืบค้นพิเศษเพิ่มเติมพิจารณาเลือกตรวจตามความจำเป็น ได้แก่ การถ่ายภาพรังสีของช่องท้อง อาจเห็นลักษณะของหินปูนจับอยู่ในก้อนเนื้องอก การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง ช่วยแยกเนื้องอกมดลูกจากการตั้งครรภ์และเนื้องอกรังไข่ การตรวจ hysterosalpingography (HSG) และ hysteroscopy อาจช่วยวินิจฉัย submucous leiomyoma ได้ ส่วน CT และ MRI มีความแม่นยำมากขึ้นแต่แพงและไม่จำเป็นในการวินิจฉัย การขูดมดลูกพิจารณาทำในรายที่มีเลือดออกผิดปกติทุกราย อาจพิจารณาทำ IVP ในรายที่ก้อนมีขนาดใหญ่ในอุ้งเชิงกราน ที่สงสัยว่าจะมีการกดทับท่อไต หรือมีความผิดปกติเกี่ยวกับทางเดินปัสสาวะ การส่องกล้องตรวจช่องท้อง (laparoscopy) อาจมีบทบาทในบางรายที่มีปัญหาเรื่องการวินิจฉัย
การเสื่อมสภาพของเนื้องอก (degeneration)
พบได้ 2 ใน 3 ของผู้ป่วย เกิดจากการที่เลือดมาเลี้ยงก้อนเนื้องอกลดลง พบได้ในภาวะต่อไปนี้ ได้แก่ ก้อนโตเร็ว ตั้งครรภ์ postmenopausal atrophy มีหลายรูปแบบดังนี้
- Hyaline degeneration พบบ่อยที่สุดประมาณ 65 % ถ้าเป็นมาก ๆ เกิด liquefaction necrosis ตามมาเรียกว่า cystic degeneration
- Myxomatous degeneration พบรองลงมาประมาณ 15 %
- Calcific (calcareous) degeneration พบประมาณ 10 % พบบ่อยในวัยหมดระดู
- Red (carneous) degeneration พบบ่อยในระหว่างตั้งครรภ์ (5-10 % ของสตรีตั้งครรภ์ที่มีเนื้องอก)
- อื่น ๆ : atrophic, septic, sarcomatous transformation
การรักษา
การรักษาขึ้นกับ อายุ parity ความต้องการบุตร สุขภาพทั่วไปของผู้ป่วย ขนาดและตำแหน่งของเนื้องอก แบ่งการรักษาเป็น 3 วิธีใหญ่ ๆ
1. Expectant Therapy
เหมาะกับผู้ป่วยที่ไม่มีอาการผิดปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งขนาดเนื้องอกไม่โต อายุเข้าใกล้วัยหมดดู โดยคาดว่าก้อนจะมีขนาดเล็กลง ควรเฝ้าดูอาการและตรวจติดตามอัตราการโตของเนื้องอกอย่างใกล้ชิดทุก 6-12 เดือน (หรือบ่อยขึ้นทุก 3-6 เดือน) โดยการตรวจภายในร่วมกับการตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่เมื่อมีข้อบ่งชี้
ในรายที่ต้องการบุตร แนะนำให้รีบตั้งครรภ์
2. การใช้ยารักษา
ปัจจุบันยาที่นำมาใช้ในการรักษาเนื้องอกมดลูกและมีรายงานว่าได้ผล คือ GnRH agonist ซึ่งชักนำให้เกิดภาวะ hypoestrogenic pseudomenopause จึงทำให้เนื้องอกมีขนาดเล็กลงได้ พบว่าให้ยาไป 3 เดือน ก้อนเนื้องอกมีปริมาตรลดลง 40-60 % ของขนาดเริ่มแรก แต่อย่างไรก็ตามหลังหยุดยาประมาณ 6 เดือน ขนาดมักกลับมาเท่ากับก้อนการรักษา และยามีผลข้างเคียงที่สำคัญ คือ osteoporosis, hot flush, mood change, vaginal dryners, libido ลดลง จึงมักนิยมให้เป็นช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ก่อนผ่าตัด myomectomy เพื่อลดขนาดก้อนเนื้องอกลงทำให้ผ่าตัดง่ายขึ้นและเสียเลือดน้อยลง หรือใช้ในผู้ป่วยวัย perimenopause ที่คาดว่าก้อนเนื้องอกจะเล็กลงเมื่อถึงวัยหมดระดูจริง
3. การผ่าตัด
พิจารณาในรายที่มีอาการผิดปกติ ดังนี้
- เลือดระดูออกมากผิดปกติจนเกิดภาวะเลือดจาง
- มีอาการเนื้องอกกดเบียดอวัยวะข้างเคียง เช่น มี obstructive uropathy
- มีอาการปวดท้องหรือปวดระดูมากอย่างเรื้อรัง
- ก้อนโตเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสตรีวัยหลังหมดระดู เพราะมีโอกาสเป็นมะเร็งได้
- Pedunculated subserous leiomyoma เพราะอาจมี complication ขึ้น
- ไม่แน่ใจการวินิจฉัย เช่น ไม่สามารถแยกจากเนื้องอกรังไข่ได้
- มีพยาธิสภาพอื่น ๆ ในช่องเชิงกรานร่วมด้วย ซึ่งจำเป็นต้องผ่าตัด
- ประวัติมีบุตรยาก หรือแท้งเป็นอาจิณที่ตรวจไม่พบสาเหตุอื่น ๆ
วิธีผ่าตัด
1. การตัดเฉพาะก้อนเนื้องอก (Myomectomy) ใช้ในผู้ป่วยที่ต้องการมีบุตรในอนาคตและมีเนื้องอกที่มีความผิดปกติดังกล่าวข้างต้น
อย่างไรก็ตาม ประมาณ 1 ใน 4 ของผู้ป่วยจะมีเนื้องอกโตขึ้นมาอีกและจำเป็นต้องตัดมดลูกในภายหลัง ปัจจุบันสามารถผ่าตัดก้อนเนื้องอกได้หลายทาง ได้แก่
- Abdominal
- Vaginal
- Hysteroscopic
- Laparoscopic
2. การตัดมดลูก (Hysterectomy) ใช้ในผู้ป่วยที่มีบุตรเพียงพอแล้ว และมีความผิดปกติดังกล่าวข้างต้น
- Abdominal
- Vaginal
- Laparoscopic
Adenomyosis
ความหมาย
โรคที่เกิดจากการที่มีเยื่อบุโพรงมดลูก (endometrial glands และ stroma) เข้าไปเจริญอยู่ในกล้ามเนื้อมดลูก แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ
- ชนิดกระจายอยู่ในชั้นกล้ามเนื้อมดลูกทั่วไป เรียกว่า diffuse adenomyosis
- ชนิดที่จำกัดบริเวณและมีเปลือกหุ้ม (encapsulates) เรียกว่า adenomyoma
อุบัติการณ์
พบโรคนี้ประมาณ 20 % ของมดลูกที่ผ่าตัดออกมา, ส่วนใหญ่ของผู้ป่วยเป็น multiparas วัย 40-50 ปี
สาเหตุ
ทฤษฎีที่ยอมรับกันมากที่สุดเชื่อว่าเซลล์ต้นตอมาจาก mullerian duct โดยเยื่อบุโพรงมดลูกชั้น basalis ได้แทรกตัวลงไปในกล้ามเนื้อมดลูก
ลักษณะทางพยาธิวิทยา
กล้ามเนื้อมดลูกจะหนาตัวขึ้นมาก แยกขอบเขตของเนื้องอกกล้ามเนื้อมดลูกได้ยากเพราะไม่มี pseudo
capsule ผิวหน้าตัดไม่เรียบ ตะปุ่มตะป่ำ (knobby) คล้ายฟองน้ำ (spongy appearance) อาจเห็น translucent tissue อยู่กระจัดกระจายทั่วไป ลักษณะทางกล้องจุลทรรศน์จะวินิจฉัยโรคนี้เมื่อตรวจพบ endometrial glands และ stroma อยู่ลึกเข้าไปในกล้ามเนื้อมดลูกอย่างน้อย 1 low power field (LPF) หรือ > 4 mm นับจากรอยต่อของเยื่อบุโพรงมดลูกและกล้ามเนื้อมดลูก (endomyometrium junction)
อาการ
- พบว่าไม่มีอาการได้บ่อย มักวินิจฉัยได้โดยบังเอิญจากพยาธิวิทยาของมดลูกที่ตัดออกมา
- อาการที่จำเพาะกับโรคนี้คือ menorrhagia ร่วมกับอาการปวดระดู ซึ่งมักเกิดขึ้น 1 สัปดาห์ก่อนมีเลือดระดู และอาจคงอยู่จนกระทั่งระดูหายไป อาการปวดระดูมักเกิดขึ้นเมื่อ glandular invasion เข้าไปเกิน 80 % ของกล้ามเนื้อมดลูก การที่มีเลือดระดูมามากเนื่องจากมีการเพิ่มพื้นที่ผิวของโพรงมดลูก ร่วมกับการที่กล้ามเนื้อมดลูกไม่สามารถหดรัดตัวได้ตามปกติ
อาการแสดง
มดลูกมีขนาดโตขึ้นทั่ว ๆ ไป มักโตไม่เกิน 2-3 เท่าของขนาดปกติ และโตในแนวหน้าหลัง ด้านหลังมากกว่าด้านหน้า แข็งแต่อาจนุ่มกดเจ็บได้ในขณะที่มีระดู มดลูกมีลักษณะสมมาตร รูปร่าง globular เพราะส่วนใหญ่เป็นชนิด diffuse type อาจมีลักษณะขรุขระคล้าย leiomyoma ได้ถ้าเป็นแบบ encapsulated adenomyoma
การวินิจฉัย
ส่วนใหญ่ตรวจพบโดยบังเอิญในมดลูกที่ถูกผ่าตัดด้วยเพราะเป็น leiomyoma ทางคลินิกควรสงสัยโรคนี้ ในสตรีวัย 40-50 ปี ที่มีมดลูกโตทั่ว ๆ ไป และไม่ตั้งครรภ์ มีอาการปวดระดูและ menorrhagia การสืบค้น โดยวิธีพิเศษอื่น ๆ อาจช่วยในการวินิจฉัยโรคนี้ แต่ไม่แม่นยำนัก จึงไม่จำเป็นต้องตรวจเป็นกิจวัตร โดยทั่วไปจะสามารถวินิจฉัยได้ก่อนผ่าตัดเพียง 10 % ของผู้ป่วย อย่างไรก็ตามการยืนยันการวินิจฉัยสามารถกระทำได้โดยการตรวจทางพยาธิวิทยาของตัวมดลูกหลังผ่าตัดได้
การรักษา
พิจารณาจากอายุและความต้องการบุตรในอนาคต
1. การใช้ยารักษา
- Progestin หรือ cyclic estrogen-progestin: ไม่ค่อยได้ผล
- GnRH agonist: ระหว่างให้ยาอาการปวดหายไป ขนาดมดลูกเล็กลง 65 % ใน 6 เดือน แต่หลังหยุดยาอาการ dysmenorrhea และ menorrhagia เป็นกลับซ้ำมาอีก
2. การผ่าตัดมดลูก (Hysterectomy): ถือเป็น definitive treatment of choice สามารถทำได้ทาง
- Vaginal
- Abdominal
- Laparoscopic
เอกสารอ้างอิง
- Thompson JD, Rock JA. Leiomyomata uteri and myomectomy. In: Rock JA, Thompson JD, editors. Te Linde’s operative gynecolgy. 8th ed. Philadelphia: Lippincott-Raven, 1997:731-69.
- Hesla JS, Rock JA. Endometriosis. In: Rock JA, Thrompson JD, editors. Te Linde’s operative gynecology. 8th ed. Philadelphia: Lippincott-Raven, 1997:585-624.
- Mishell JR DR, Stenchever MA, Droegemueller W, Herbst AL, editors. Comprehensive gynecology. 3rd ed. St. Louis: Mosby, 1997:837-46.
- Hillard PA. Benign disease of the female reproductive tract symptoms and signs. In: Berek JS, Adashi EY, Hillard PA, editors. Novak’s gynecology. 12th ed. Baltimore: William & Wilkin, 1996 : 359-61, 374-5.
- DiSaia PJ, Creasman WT, editors. Clinical gynecologic oncology. 5th ed. St. Louis : Mosby, 1997: 255.
- Creasman WT. Disorders of the uterine corpus. In: cott JR, DiSaia PJ, Hammond CB, Spellacy WN, editors Danforth’s obstetrics and gynecology. 7th ed. Philadelphia: J.B. Lippincott, 1994 : 925-55.