ทารกหัวบาตร (hydrocephalus)
ทารกหัวบาตร (hydrocephalus) คือภาวะที่ CSF คั่งในกระโหลกมากผิดปกติ ร่วมกับการมีความดันในกระโหลกศีรษะเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งมักเกิดจากการคั่งของ CSF จากการอุดตันการไหลเวียนหรือ การสร้างมากกว่าการดูดซึมกลับมาก พบได้ประมาณ 0.8 ต่อ 1000 การคลอดประมาณร้อยละ 30 ของทารกหัวบาตรมี spina bifida ร่วมด้วยโดยเป็นส่วนหนึ่งของ Arnold-Chiari malformation หรือ NTD ความผิดปกติอื่นของสมองที่อาจพบร่วมด้วยได้แก่ Dandy-Walker malformation, agenesis of corpus callosum เป็นต้น โดยมากถ่ายทอดทางพันธุกรรมแบบ multifactorial มีโอกาสเกิดซ้ำในครรภ์ต่อมาประมาณร้อยละ 2 และถ้าเคยมีประวัติคลอดลูกเป็นหัวบาตรสองคนแล้ว ครรภ์ต่อไปจะมีโอกาสเป็นซ้ำอีกร้อยละ 10 และส่วนน้อย (ร้อยละ 7) ถ่ายทอดทางพันธุกรรมแบบ X-linked recessive (เป็น aqueductal stenosis) โดยทั่วไปแล้วจะโตทั้งสองข้าง มีน้อยมากที่จะเป็นข้างเดียว (unilateral hydrocephalus) ซึ่งกระโหลกและหน้าไม่สมมาตร เกิดจากการอุดตันของทางไหลเวียน CSF ที่ระดับ Monro’s foramen พยากรณ์ของทารกแรกคลอดอาจไม่สัมพันธ์กับขนาดของ ventricles ทารกที่มีความหนาของเนื้อสมองเพียงไม่กี่มิลลิเมตร อาจจะสามารถมีการพัฒนาเป็นปกติถ้าได้รับการดูแลรักษาอย่างดี การพยากรณ์โรคดูเหมือนว่าจะขึ้นกับชนิด สาเหตุ และความพิการที่พบร่วมด้วย มากกว่าขึ้นกับความรุนแรง อย่างไรก็ตาม mild ventriculomegaly เดี่ยว ๆ มีพยากรณ์ดีกว่ามาก
การจำแนกภาวะหัวบาตร (hydrocephaly)
อาจจำแนกโดยพยาธิกำเนิดของทารกหัวบาตรได้ดังนี้
- Triventricular hydrocephaly คือทารกหัวบาตรที่ตรวจพบ ventricles ทั้งสามโต ได้แก่ lateral ventricles ทั้ง 2 ด้าน และ third ventricle โต โดยสมองส่วนที่อยู่ posterior fossa ปกติ อาจแบ่งได้เป็น
- Noncommunicating hydrocephaly คือมีการอุดตันในระบบ ventricles เป็นชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง aqueductal stenosis ซึ่งนับเป็นสาเหตุหนึ่งในสามของภาวะทารกหัวบาตร ส่วนหนึ่งเกิดจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรมแบบ X-linked recessive
- Communicating hydrocephaly เกิดจากการอุดตันในทางไหลเวียนของ CSF นอกระบบ ventricles หรือเกิดจากความล้มเหลวในการดูดซึมกลับของ CSF ซึ่งอาจเกิดจากการมีเลือดออกในชั้น subarachnoid เส้นเลือดในสมองอุดตัน หรือ papilloma ของ choroid plexu
ความผิดปกติอื่น ๆ ของระบบประสาท ทารกหัวบาตรอาจมีความผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วยถึงร้อยละ 70-85 ซึ่งเป็นความผิดปกติอื่น ๆ ของระบบประสาทร้อยละ 50-60 ในรายที่มีความผิดปกติอื่นร่วมด้วยมีแนวโน้มโครโมโซมผิดปกติสูง จึงมักแนะนำให้ตรวจโครโมโซมร่วมด้วย อย่างไรก็ตามความผิดปกติอื่นอาจจะตรวจไม่พบโดยคลื่นเสียงความถี่สูง ดังนั้นทารกหัวบาตรอาจพิจารณาตรวจโครโมโซมทุกราย
การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง
มักพบศีรษะขนาดโตกว่าที่ควรจะเป็นสำหรับอายุครรภ์นั้นๆ BPD โตกว่าปกติ แต่ทารกบางรายที่พบมี ventriculomegaly อาจจะมี BPD อยู่ในเกณฑ์ปกติแม้ในไตรมาสที่
Ventriculomegaly
เกณฑ์การวินิจฉัยว่า ventricles โต อาศัยภาพคลื่นเสียงความถี่สูงที่วิวระดับ ventricles ดังนี้
- Dangling choroid plexus ในทารกหัวบาตร choroid plexus จะเหี่ยวย่นและถูกดันไปทางด้านหน้า ทำให้เห็นแยกตัวออกห่างจากผนังด้านในของ ventricle เห็น choroid ตกลงมาตามแรงโน้มถ่วง choroid ของ ventricle ซีกบน (ใกล้หัวตรวจ) จะตกลงมาอยู่ใกล้แนวกลาง choroid ของ ventricle ล่างก็ยิ่งตกห่างจากแนวกลางออกไปอีก
- การวัด LVR (lateral ventricular ratio) LVR คำนวณได้จากการหารความกว้างของ lateral ventricle ด้วยความกว้างของซีกสมองข้างเดียวกัน โดยที่ความกว้างของ ventricle วัดจากแนวกึ่งกลางของ midline echo ไปจนถึงขอบนอกของ lateral ventricle ในส่วน parietal ซึ่งมีแนวขนานกับ midline ส่วนความกว้างของซีกสมองวัดจากจุดกึ่งกลางของ midline echo ในภาพเดียวกันนั้นไปจนถึงขอบในของกระดูกกระโหลกศีรษะ
LVR ปกติจะมีค่าสูงในระยะแรกของการตั้งครรภ์คือประมาณร้อยละ 71 ขณะอายุครรภ์ 15 สัปดาห์ และลดลงเป็นร้อยละ 33 ขณะ 24 สัปดาห์ โดยทั่วไปถือกันง่าย ๆ ว่าถ้า LVR มีค่ามากกว่าร้อยละ 50 ให้ถือว่าผิดปกติ เนื่องจากความแปรปรวนของค่าปกติในระยะก่อน 24 สัปดาห์มีได้สูง LVR จึงมีคุณค่าค่อนข้างจำกัดในช่วงนี้
- วัดขนาดของ ventricles โดยทั่วไปแล้วขนาดของส่วน atria ค่อนข้างจะคงที่ตลอดครึ่งหลังของการตั้งครรภ์ คือ 4-8 มม. สูงสุดได้ถึง 10 มม. ถ้าขนาดโตกว่านี้ถือว่ามี ventriculomegaly ในกรณีที่โตเพียงเล็กน้อย (10-14 มม.) พบว่าในที่สุดเป็นปกติได้บ่อยคือร้อยละ 40