ความบกพร่องทางเพศของผู้หญิง (Female Sexual Dysfunction)

 

นพ. อารัมภ์ ทัพสมุทรเดชากร
ผศ. นพ. ชัยเลิศ พงษ์นริศร


 

Definition

ความบกพร่องทางเพศ หมายถึง สภาวะที่ร่างกายหรือจิตใจไม่มีความต้องการทางเพศ และไม่สามารถตอบสนองต่อการกระตุ้นทางเพศได้ตามปกติ ทำให้เกิดปัญหาในการร่วมเพศ หรือการมีความสุขสุดยอดทางเพศ เป็นผลให้เกิดความวิตกกังวล และความขัดแย้งในคู่สมรส ความบกพร่องทางเพศมีสาเหตุทั้งทางร่างกายและจิตใจ คำจำกัดความของ WHO – ICD 10 มีเกณฑ์ในการวินิจฉัยดังนี้

  1. บุคคลนั้นไม่สามารถมีความสัมพันธ์ทางเพศตามความต้องการได้
  2. ความบกพร่องทางเพศนี้ต้องเกิดขึ้นบ่อยซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่อาจหายไปในบางครั้งบางคราว
  3. ความบกพร่องนี้ไม่มีสาเหตุโดยตรจากปัญหาทางร่างกาย จิตใจ หรือพฤติกรรมที่แปรปรวน
  4. ปัญหานี้ทำให้เกิดความขัดแย้งและวิตกกังวลระหว่างคู่สมรส

จากการสำรวจโดย National Health and Social Life Survey (NHSLS) ปี พ.ศ. 2542 ที่ผ่านมาในประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่ามีความผิดปกติทางเพศที่เกิดขึ้นกับเพศหญิงที่มีอายุระหว่าง 18 – 59 ปีถึงร้อยละ 43 ซึ่งสูงกว่าเพศชายในการสำรวจคราวเดียวกัน ที่พบความผิดปกติเพียงร้อยละ 31 เท่านั้น โดยเพศหญิงกว่า 1 ใน 3 จะมีความต้องการทางเพศลดลงหรือไม่มีเลย เกือบ 1 ใน 4 ไม่สามารถเข้าถึงระยะสุดยอดทางเพศได้ และร้อยละ 20 มีความเจ็บปวดระหว่างประกอบกิจการทางเพศ

Sexual Response Cycle (วงจรการตอบสนองทางเพศ)

1. Desire or Excitement Phase (ระยะความต้องการทางเพศ)

ระยะนี้อาจจะใช้เวลาตั้งแต่เป็นนาทีหรือหลายชั่วโมง มีลักษณะที่จำเพาะหลายอย่าง ดังต่อไปนี้

  • กล้ามเนื้อมีการตึงตัวมากขึ้น
  • หัวใจเต้นเร็วขึ้น การหายใจหายใจแรงและเร็วขึ้น
  • ผิวหนังมีสีแดงมากขึ้น โดยเฉพาะที่หลังและหน้าอก
  • หัวนมแข็งขึ้น ตั้งชันมากขึ้น
  • เลือดไปเลี้ยงบริเวณอวัยวะเพศมากขึ้น ส่งผลให้มีการบวมขึ้นของ Clitoris และ Labia Minora
  • มีน้ำหล่อลื่นในช่องคลอดมากขึ้น

2. Arousal or Plateau Phase (ระยะตื่นตัวทางเพศ)

  • สิ่งที่เกิดขึ้นในระยะที่ 1 เริ่มมีการเพิ่มความเข้มข้นมากขึ้นอีก
  • ผนังของช่องคลอด มีการบวมมากขึ้นอีก จนเปลี่ยนสีไปเป็นสีดำม่วง
  • Clitoris ของผู้หญิงจะมีความไวต่อความรู้สึกมากขึ้น จนถึงขนาดที่ว่า อาจจะเจ็บเมื่อแตะโดนเลยทีเดียว และตัว Clitoris จะถูกดึงเข้าไปใน Clitoris Hood เพื่อป้องกันการโดนกระแทกหรือสัมผัสจากอวัยวะเพศชาย
  • อัตราการหายใจ อัตราการเต้นของหัวใจ และความดันโลหิตเพิ่มสูงขึ้น
  • มีการหดเกร็งตัวของกล้ามเนื้อที่เท้า มือและหน้า และมีการตึงตัวของกล้ามเนื้อทั่วร่างกาย

3. Orgasm Phase (ระยะสุดยอดทางเพศ)

ระยะนี้เป็นระยะที่สูงสุด ของวงรอบการตอบสนองทางเพศ Sexual Response cycle ระยะนี้เป็นระยะที่ใช้เวลาสั้นที่สุดคือ เพียงประมาณไม่กี่วินาที ลักษณะที่สำคัญคือ

  • มีการบีบรัดตัวของกล้ามเนื้ออัตโนมัติ (Involuntary Muscle Contraction)
  • อัตราการเต้นของหัวใจ ความดันโลหิต อัตราการหายใจ จะถึงจุดสูงสุด และร่างกายมีการใช้ออกซิเจนอย่างมากและรวดเร็ว มีการหดเกร็งของกล้ามเนื้อที่เท้า
  • มีการปลดปล่อยพลังทางเพศ อย่างกะทันหัน พรั่งพรูและรวดเร็ว
  • ในผู้หญิงกล้ามเนื้อของช่องคลอดจะมีการหดเกร็งตัว และกล้ามเนื้อของมดลูกจะมีการหดตัวอย่างเป็นจังหวะ
  • จะมีผื่นแดง เกิดขึ้นทั่วตัว เรียกว่า Sex Flush

4. Resolution Phase (ระยะกลับสู่ภาวะปกติ)

ในระยะนี้ส่วนต่างๆของร่างกายที่มีการเปลี่ยนแปลงไปในช่วงที่มีกิจกรรมทางเพศจะเริ่มค่อยๆกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ส่วนของร่างกายที่มีการบวม เกร็งแข็ง ก็จะเริ่มอ่อนตัวลง และสีก็จะกลับมาเป็นสีปกติของร่างกายส่วนนั้นๆ ผู้ผ่านเข้ามาถึงระยะนี้จะมีความรู้สึกเป็นสุข สบายตัว มีความผูกพันใกล้ชิดกับคู่ของตน และมีอาการอ่อนล้าด้วย
ในผู้หญิงบางคนสามารถกลับเข้าสู่ระยะ Orgasm ได้อีกในระยะเวลาอันสั้น ถ้าได้รับการกระตุ้นทางเพศอีกอย่างต่อเนื่อง และผู้หญิงบางคนสามารถมี Orgasm ได้หลายๆ ครั้งติดกัน

Classification of Female Sexual Dysfunction (การแบ่งประเภทของความบกพร่อง)

  1. ความผิดปกติในระยะความต้องการทางเพศ (Female Sexual Desire Disorders : FSDD)
  2. ความผิดปกติในระยะตื่นตัวทางเพศ (Female Sexual Arousal Disorders : FSAD)
  3. ความผิดปกติในระยะสุดยอดทางเพศ (Female Orgasmic Disorders : FOD)
  4. ความเจ็บปวดทางเพศ (Female Sexual Pain Disorders)

ความผิดปกติในระยะความต้องการทางเพศ (Female Sexual Desire Disorders : FSDD)

หมายถึงสภาวะที่ความต้องการทางเพศลดลงกว่าที่ควรจะเป็น หรือไม่มีความต้องการทางเพศเลย ซึ่งแต่ละบุคคลมีความต้องการทางเพศพื้นฐานที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นจึงต้องคำนึงถึงระดับความสนใจทางเพศในอดีตมาเปรียบเทียบด้วยในการวินิจฉัย ความผิดปกติในระยะความต้องการทางเพศนี้แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ

  1. มีความต้องการทางเพศลดลง (Hypoactive Sexual Desire Disorder : HSDD) หมายถึง มีความบกพร่องหรือไม่มีความคิดจินตนาการทางเพศ ขาดความสนใจต้องการมีความสัมพันธ์ทางเพศ จนทำให้เกิดปัญหาความยากลำบากขึ้นในตนเอง มีสาเหตุจาก ปัจจัยทางจิตใจ (Psychogenic factors) ได้แก่ ภาวะซึมเศร้า ความเครียด ความกลัว และปัจจัยร่างกาย (Physiological factors) ได้แก่ ความบกพร่องทางฮอร์โมนเพศ โรคความเจ็บป่วยเรื้อรัง การบำบัด รักษาทางยา และการผ่าตัด เป็นต้น
  2. ความรังเกียจทางเพศ (Sexual Aversion Disorder : SAD) หมายถึง ความรังเกียจกลัว และหลีกเลี่ยงการมีสัมพันธ์ทางเพศกับคู่ของตน บางคนเกิดความรู้สึกขยะแขยง (Revulsion) เมื่อคิดถึงการประกอบกิจทางเพศ จนบางครั้งมีอาการแสดงออกทางร่างกายขึ้น เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เหงื่อออกมาก ชีพจรเต้นเร็วขึ้น เวียนศีรษะหน้ามืด เป็นต้น ทำให้เกิดปัญหาความยากลำบากขึ้นในตนเอง หญิงที่มีความรังเกียจทางเพศนี้ ยังมีความต้องการทางเพศเป็นปกติแต่ไม่สามารถเริ่มต้นการสนองตอบจนมีสัมพันธ์ทางเพศได้ มักมีสาเหตุจากความผิดปกติทางจิตใจ เช่น การถูกทารุณกรรมทางเพศมาแต่ในวัยเด็ก (Childhood sexual abuse)

ความผิดปกติในระยะตื่นตัวทางเพศ (Female Sexual Arousal Disorders : FSAD)

หมายถึงการที่ร่างกายไม่สามารถตอบสนองต่อการกระตุ้นทางเพศ หรือไม่มีการตื่นตัวทางเพศ (Frigidity) เกิดขึ้นได้กับผู้หญิงทุกคน อาจเกิดจากสาเหตุทางร่างกายและจิตใจ การขาดเลือดไปหล่อเลี้ยงช่องคลอดเป็นสาเหตุสำคัญของภาวะนี้ ทำให้การร่วมเพศมีอาการเจ็บปวด สาเหตุทางร่างกายสามารถทำให้เกิดความบกพร่องทางเพศได้ประมาณร้อยละ 20-50 โดยเฉพาะในผู้หญิงสูงวัย ซึ่งอาจแบ่งสาเหตุได้ดังนี้

1. ระบบหลอดเลือด

พบในกลุ่มสตรีที่มีความเสี่ยง เช่น เป็นเบาหวาน สูบบุหรี่จัด ไขมันในเลือดสูง หรือมีความดันโลหิตสูง ปัญหาของหลอดเลือดแบ่งเป็น
1) Artherosclerosis (หลอดเลือดแข็ง) พบในผู้หญิงอายุเกิน 50 ปี พบได้ถึงร้อยละ 34
2) Vasoconstriction (หลอดเลือดตีบ) เกิดจากการสูบบุหรี่จัดเป็นเวลานาน หรือมีอารมณ์เครียด

2. ระบบประสาท

พบในสตรีที่เคยมีอุบัติเหตุเกี่ยวกับไขสันหลัง หรือมีโรคที่มีผลต่อระบบประสาทเกี่ยวกับการตอบสนองต่อการตื่นตัวทางเพศ

3. ระบบฮอร์โมนต่อมไร้ท่อ

ในกลุ่มสตรีที่หมดประจำเดือน หรือการทำงานของรังไข่ล้มเหลวก่อนกำหนด รวมไปถึงผู้ที่ใช้ยาคุมกำเนิดมาเป็นระยะเวลานาน ทำให้มีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) และเทสโทสเทอโรน (Testosterone) ต่ำ ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ต่ำทำให้ช่องคลอดแห้งจากการผลิดสารคัดหลั่งในช่องคลอดลดลง การหมุนเวียนของโลหิตไปยัง Clitoris ลดลง ส่วนการขาดฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนทำให้ความต้องการทางเพศของสตรีลดลงเช่นกัน

4. ระบบกล้ามเนื้อ

ปกติการตอบสนองทางเพศในผู้หญิงจะมีระบบกล้ามเนื้อมาเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะ Bulbocarvernosus และ Ischiocarvernosus ที่จะหดรัดตัวเมื่อมีความรู้สึกสุดยอดทางเพศและจะรัดตัวเป็นจังหวะ ถ้ากล้ามเนื้อเหล่านี้มีความบกพร่อง การหดรัดตัวจะไม่แรงและทำให้ไม่มีความสุขเท่าที่ควร

5. ระบบจิตใจ

จิตใจและอารมณ์ที่ผิดปกติหรือเปลี่ยนแปลงอาจมีผลต่อการตื่นตัวทางเพศในผู้หญิงได้ โดยสาเหตุทางจิตใจสามารถแบ่งได้ดังนี้

  1. ความขัดแย้งในจิตใต้สำนึกตั้งแต่วัยเด็ก
    • ความขัดแย้งเกี่ยวกับความรู้สึกทางเพศของตนที่มีต่อบิดา ทำให้เก็บกดความต้องการทางเพศไว้
    • การอิจฉาชายที่มีองคชาติ รวมทั้งความขัดแย้งเกี่ยวกับบทบาททางเพศของตนเอง
    • ถูกเลี้ยงดูอย่างเข้มงวดกวดขันเรื่องเพศ ทำให้เกิดทัศนคติที่ไม่ดีต่อเรื่องดังกล่าว
    • ครอบครัวที่ขาดความปรองดอง และไม่มีความสุขในชีวิตสมรส
  2. ความรู้สึกดูถูกหรือก้าวร้าวต่อสามี คิดว่าสามีไม่หล่อ เป็นคนโง่ หยาบคาย หรือไม่น่าไว้วางใจ
  3. สภาพอารมณ์ เช่น อารมณ์เครียดหรือซึมเศร้า
  4. ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง มีปมด้อยเกี่ยวกับรูปร่างหน้าตา หรือบางส่วนของร่างกายที่มีความผิดปกติ เช่น บริเวณอวัยวะเพศ ทำให้เกิดความบกพร่องทางเพศในระยะนี้ได้เช่นกัน

ความผิดปกติในระยะสุดยอดทางเพศ (Female Orgasmic Disorders : FOD)

หมายถึง มีความยากลำบาก ล่าช้า หรือไม่สามารถเข้าถึงการสนองตอบทางเพศระยะสุดยอดทางเพศได้ แม้จะได้รับการกระตุ้นเร้าและมีการตื่นตัวทางเพศอย่างเพียงพอแล้วก็ตาม ทำให้เกิดปัญหาความยากลำบากขึ้นในตนเอง พบได้ประมาณร้อยละ 33 ของผู้หญิงที่สมรสแล้ว ความผิดปกติในระยะนี้แบ่งออกเป็น 4 ชนิด คือ

  1. ชนิดปฐมภูมิ (Primary Anorgasmia) คือไม่เคยเข้าถึงการสนองตอบทางเพศระยะสุดยอดทางเพศเลย
  2. ชนิดทุติยภูมิ (Secondary Anorgasmia) คือ เคยเข้าถึงการสนองตอบทางเพศระยะสุดยอดทางเพศ จากการประกอบกิจการทางเพศมาก่อนหน้า แต่ไม่สามารถเข้าถึงในภายหลัง
  3. ชนิดสมบูรณ์ (Absolute) คือการที่ผู้หญิงไม่มีความสุขสุดยอดไม่ว่าจะโดยการร่วมเพศหรือการกระตุ้น Clitoris
  4. ชนิดเฉพาะสถานการณ์ (Situational) คือ การบรรลุความสุขสุดยอดทางเพศได้เฉพาะบางสถานการณ์เท่านั้น

สาเหตุของความผิดปกติในระยะสุดยอดทางเพศมักคล้ายคลึงกับสาเหตุของความผิดปกติในระยะตื่นตัวทางเพศทั้งทางร่างกายและจิตใจ ดังต่อไปนี้

1. สาเหตุทางจิตใจ เกิดจากความวิตกกังวลขณะร่วมเพศ
– วิตกว่าจะปฎิบัติกิจกรรมทางเพศได้ไม่ดี
– วิตกว่าจะไม่บรรลุความสุขสุดยอดทางเพศ
– กลัวการตั้งครรภ์ หรือกลัวการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์
– กลัวจะควบคุมตัวเองไม่ได้ขณะบรรลุความสุขสุดยอดทางเพศ เช่น ร้องกรี๊ด หรือปัสสาวะราด

2. เทคนิคการร่วมเพศ
ถ้าไม่ดีพอ ผู้หญิงจะไม่มีความสุขสุดยอด เช่น การเล้าโลม (Foreplay) ที่น้อยเกินไป ฝ่ายชายขาดความนุ่มนวลอ่อนโยน ไม่สนใจที่จะเรียนรู้ความต้องการของฝ่ายตรงข้าม รวมถึงระยะเวลาที่องคชาติอยู่ในช่องคลอด ถ้าน้อยกว่า 1 นาที ผู้หญิงส่วนใหญ่จะไม่ถึงจุดสุดยอด ระหว่าง 1-11 นาที ผู้หญิงร้อยละ 50 จะถึงจุดสุดยอด และถ้ามากกว่า 16 นาที ผู้หญิงเกือบทุกคนจะถึงจุดสุดยอด แต่ในความเป็นจริง ผู้ชายส่วนใหญ่จะหลั่งน้ำกามภายใน 3-4 นาทีหลังสอดใส่องคชาติเข้าในช่องคลอด
การรักษาภาวะความผิดปกติในระยะสุดยอดทางเพศ จะต้องตรวจหาความผิดปกติทางร่างกายให้ได้ก่อน หากมีความผิดปกติตามร่างกายให้รักษาตามความผิดปกติหรือโรคนั้นๆก่อน ส่วนการรักษาอื่นๆ มีวิธีการดังต่อไปนี้

  1. วิธีการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง แนะนำให้ผู้ป่วยสำรวจร่างกายของตนเอง แตะต้อง ลูบไล้ตามจุดต่างๆของร่างกายและบริเวณอวัยวะเพศที่ไวต่อความรู้สึก เช่น Clitoris แล้วสำเร็จความใคร่ร่วมกับสามี
  2. ทำ Sensate Focus กับสามีที่บ้านเป็นการส่วนตัว (รายละเอียดจะกล่าวต่อไป)
  3. ฝึกกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานด้วยวิธี Kegel’s Exercise
  4. คิดฝันเรื่องที่จะทำตื่นตัวทางเพศ สำเร็จความใคร่ตนเองโดยใช้ Vibrator
  5. ร่วมเพศหลังการกระตุ้นอารมณ์ทางเพศอย่างพอเพียง โดยใช้ภรรยานั่งคร่อมสามี เพราะวิธีนี้ภรรยาควบคุมการมีเพศสัมพันธ์ได้ดีและสามารถเคลื่นไหวได้ตามความต้องการของตนเอง

ความเจ็บปวดทางเพศ (Female Sexual Pain Disorders)

หมายถึง ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นที่อวัยวะเพศระหว่างมีสัมพันธ์ทางเพศ ทำให้เกิดปัญหาความยากลำบากขึ้นในตนเอง แบ่งออกเป็น

1. ความเจ็บปวดระหว่างประกอบกิจทางเพศ (dyspareunia) หมายถึง ความเจ็บปวดที่อวัยวะเพศที่เกิดขึ้นระหว่างหรือหลังประกอบกิจทางเพศ สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากความผิดปกติทางร่างกาย ได้แก่ การอักเสบติดเชื้อในอวัยวะเพศภายนอก (vulvar vestibulitis) ช่องคลอดอักเสบ (vaginitis) ช่องคลอดฝ่อเหี่ยวลง (senile vaginal atrophy) ในวัยหมดประจำเดือน ส่วนสาเหตุทางจิตใจ ได้แก่ ความวิตกกังวลกลัว หรือได้รับการกระตุ้นเร้าทางเพศไม่เพียงพอทำให้น้ำเมือกและสารคัดหลั่งถูกขับออกมาน้อย

2. ความเจ็บปวดจากการเกร็งตัวของปากช่องคลอด (vaginismus) หมายถึง ความเจ็บปวดที่อวัยวะเพศ ที่เกิดขึ้นจากการหดเกร็งตัวแน่นอย่างไม่ตั้งใจของกล้ามเนื้อรอบปากช่องคลอดส่วนล่าง คือ Levator Ani Muscle ระหว่างพยายามสอดใส่องคชาต นิ้วมือ หรือเครื่องมือเข้าไปในช่องคลอด ส่วนใหญ่เกิดจากสาเหตุทางจิตใจ ได้แก่ ความกลัว ความเจ็บปวดครั้งแรกจากการตรวจภายใน หรือการประกอบกิจทางเพศ สำหรับสาเหตุทางร่ายกายที่พบ ได้แก่ การอักเสบเรื้อรังในช่องเชิงกราน (Chronic Pelvic Inflammatory Disease ; Chronic PID) หรือ Endometriosis เป็นต้น

3. ความเจ็บปวดจากสัมพันธ์ทางเพศอื่น (noncoital sexual pain disorder) หมายถึง ความเจ็บปวดที่อวัยวะเพศ ที่เกิดขึ้นระหว่างการกระตุ้นเร้าทางเพศ โดยไม่มีการประกอบกิจทางเพศ สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากความผิดปกติทางร่างกาย ได้แก่ ความผิดปกติพิการของอวัยวะเพศ การบาดเจ็บที่อวัยวะเพศ Endometriosis การติดเชื้ออักเสบที่อวัยวะเพศ เช่น Herpes Simplex Virus หรือ Vestibulitis

การรักษาความความเจ็บปวดทางเพศ ควรเริ่มต้นจากการค้นหาสาเหตุทางกาย และแยกออกไปรักษาตามโรคและสาเหตุที่ตรวจพบ ส่วนการรักษาด้านอื่นๆมีหลักการดังนี้

  1. อาการเจ็บปวดบริเวรปากช่องคลอดมักเกิดจากการไม่ได้รับการกระตุ้นที่เพียงพอ ทำให้ปากช่องคลอดไม่บวมเพื่อพร้อมรับการสอดใส่ขององคชาติ รวมถึงอาจไม่มีสารหล่อลื่นในช่องคลอดเกิดขึ้น
  2. อาการเจ็บปวดลึกๆระหว่างการร่วมเพศ อาจเกิดจากมดลูกอยู่ในลักษณะคว่ำหลัง หรือรังไข่อยู่ใน Cul-de-sac จึงถูกอวัยวะเพศชายกดทับทำให้เกิดอาการเจ็บได้ การเลือกท่าร่วมเพศที่เหมาะสมจะสามารถช่วยลดอาการเหล่านี้ได้ ถ้าสามีใช้การสอดใส่องคชาติเข้าทางด้านหลังจะเข้าได้ลึกกว่าในท่าตะแคง หรือผู้หญิงอยู่บนจะสามารถควบคุมความลึกขององคชาติได้ดีกว่า
  3. สอนวิธีการผ่อนคลายกล้ามเนื้อด้วยวิธี Kegel’s Exercise เพราะถ้ามีความเจ็บปวดจะทำให้การร่วมเพศครั้งต่อไปเกิดอาการหวาดกลัวจนทำให้เกิดการเกร็งกล้ามเนื้อ ทำให้อาการบาดเจ็บนั้นรุนแรงกว่าเดิมจากการสอดใส่องคชาติของฝ่ายชายที่ลำบากมากยิ่งขึ้น
  4. ให้ความเชื่อมันว่าสตรีรายนั้นสามารถควบคุมสถานการณ์ได้
  5. การรักษาเฉพาะของภาวะความเจ็บปวดจากการเกร็งตัวของปากช่องคลอด (vaginismus)
    • สอนวิธีการผ่อนคลายกล้ามเนื้อด้วยวิธี (Kegel’s Exercise)
    • หากเยื่อพรหมจรรย์เหนียวและหนาควรได้รับการผ่าตัดรักษา
    • ใช้ Vaginal Dilator (ถ้ามี) เริ่มใช้ตั้งแต่ขนาดเล็กค้างไว้ 10 นาทีแล้วเอาออก หลังจากนั้นเพิ่มขนาดเรื่อยๆจนถึงขนาดเท่ากับองคชาติของฝ่ายชายหรือใหญ่กว่า
    • แนะนำวิธีการสอดใส่องคชาติเข้าสู่ฝ่ายหญิง
    • ให้ฝ่ายหญิงสอดนิ้วมือของตนเองเข้าช่องคลอดโดยใช้เจลหล่อลื่นช่วย ค่อยๆทำ อย่าเร่งรีบ
    • สอนสามีให้ใช้นิ้วมือสอดเข้าช่องคลอดด้วย
    • แนะนำให้สอดใส่องคชาติในท่าที่ผู้หญิงอยู่ด้านบน เพราะจะควบคุมความลึกและการขยับตัวได้ดี
    • ให้กำลังใจสามีว่ามีส่วนร่วมสำคัญในการรักษา สามีบางคนอาจโกรธตัวเอง หงุดหงิด และรู้สึกสิ้นหวังได้

หลักในการรักษาความบกพร่องทางเพศโดยรวม (Treatment of Female Sexual Dysfunction)

  1. เพิ่มความสัมพันธ์ที่พึงพอใจและมีความสุข
  2. ค้นหาและแนะนำให้ใช้วิธีที่เกิดความพึงพอใจ
  3. การรักษาด้วยยาอย่างเหมาะสม (Medication)
  4. ฝึกทำ Sensate Therapy
  5. ฝึกออกกำลังกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน Kegel’s Exercise
  6. ให้การศึกษาเรื่องเพศใหม่ เพื่อกำจัดทัศนคติที่ผิด
  7. แนะนำให้พักผ่อนอย่างเพียงพอ
  8. ฝึกวิธีคลายเครียด
  9. การรักษาทางจิตใจ หรือ Sex Therapy

การรักษาด้วยยา (Medication)

  1. สารหล่อลื่นช่องคลอด (Vaginal Lubricant)
    แนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ในกลุ่มสตรีที่มีภาวะช่องคลอดแห้ง สามารถซื้อได้ตามร้านขายยาโดยไม่จำเป็นต้องมีใบสั่งยา อาจเป็นในลักษณะครีม เจล หรือยาสอดช่องคลอดก็ได้ มักแนะนำให้ใช้แบบน้ำ (Water-based) มากกว่าแบบน้ำมัน (Oil-based) เช่น petroleum jelly, mineral oil, baby oil เพราะว่าสามารถทำปฏิกิริยากับถึงถุงยางอนามัยทำให้เกิดการแตกหรือรั่วได้
  2. การรักษาด้วยฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen Therapy)
    นอกจากรักษาอาการหมดประจำเดือนแล้ว การได้รับเอสโตรเจนยังช่วยเพิ่มความไวต่อความรู้สึกของ Clitoris เพิ่มความต้องการทางเพศ ทำให้อาการเจ็บปวดขณะร่วมเพศลดน้อยลงไป เอสโตรเจนในรูปแบบครีม เจล หรือยาเม็ดแบบสอดช่วยทำให้อาการช่องคลอดแห้งทุเลาลงได้เป็นอย่างดี
  3. การรักษาด้วยฮอร์โทนเทสโทสเทอโรน (Testosterone Therapy)
    เหมาะสำหรับสตรีที่รังไข่หยุดทำงานเร็วกว่าปกติหรือขาดฮอร์โมนนี้ แต่ยังไม่มีการรายงานผลทางด้านการรักษาภาวะบกพร่องทางเพศในสตรีอย่างแน่ชัด ขนาดยาขึ้นกับระดับความรุนแรงของอาการผู้ป่วย ยาที่มีใช้คือ Methytestosterone 0.25 – 1.25 mg/day
  4. Sidenafil (Viagra)
    ปกติใช้รักษาภาวะ Erectile Dysfunction ในผู้ชาย แต่สำหรับผู้หญิง ผลการรักษายังไม่สามารถสรุปได้ชัดเจน แต่มีบางการศึกษาที่พบว่าสามารถแก้ปัญหาความผิดปกติในระยะตื่นตัวทางเพศ (Female Sexual Arousal Disorders : FSAD)ได้ รวมทั้งอาจมีประโยชน์ในรายที่มีอุบัติเหตุของเส้นประสาทไขสันหลังได้
  5. Bupropion (Wellbutrin)
    เป็นยากลุ่ม Anti-depressant ใช้ในการรักษา orgasmic disorder ซึ่งให้ผลการรักษาเป็นที่น่าพอใจแต่ยังอยู่ในช่วงการศึกษาอยู่เท่านั้น
  6. Phentolamine
    เป็นยากลุ่ม Nonspecific Alpha-adrenergic Blocker ช่วยทำให้กล้ามเนื้อในเส้นเลือดผ่อนคลาย ในการศึกษาเบื้องต้นพบว่าทำให้การไหลเวียนของเลือดในช่องคลอดเพิ่มขึ้น และยังเพิ่มความตื่นตัวทางเพศด้วย
  7. L-arginine Glutamate (Viazome Gel)
    การทา Viazome Gel บริเวณ Clitoris ในหญิงวัยเจริญพันธุ์ที่มีความบกพร่องทางเพศในระยะ Excitement Phase พบว่ามีการตื่นตัวทางเพศดีขึ้น นำไปสู่ความสุขและความพึงพอใจถึงร้อยละ 70

การรักษาด้วยอุปกรณ์ (Sexual Therapy Device)

1. Clitoral Therapy Device

อุปกรณ์นี้ได้รับการรับรองโดย FDA (The USA Food and Drug Administration ในการใช้รักษาสตรีที่มีความผิดปกติในช่วย Arousal Phase ลักษณะเป็นถ้วยเล็กๆใช้ครอบ clitoris เมื่อกดปุ่มเปิดสวิตซ์ ถ้วยนั้นจะทำให้เกิดระบบสุญญากาศ เพิ่มเลือดมาเลี้ยง Clitoris และเพิ่มความดันบน Clitoral Nerve ทำให้การตื่นตัวทางเพศเพิ่มมากขึ้น

2. Sex Toy

เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการกระตุ้นบริเวณรอบ ๆ อวัยวะเพศ ทั้งชายและหญิง เพื่อให้มีความรู้สึกคล้ายกับกำลังมีเพศสัมพันธ์ หรือร่วมรัก สำหรับผู้ที่ต้องการความสุขทางเพศแบบส่วนตัว หรือการช่วยตัวเองผ่าน Sex Toy แต่ในปัจจุบันมักจะถูกนำมาใช้เพื่อการกระตุ้นความรู้สึกทางเพศ ให้กับคู่รักหรือคู่ขา พบว่ามีประสิทธิภาพที่ดีในการรักษาภาวะบกพร่องทางเพศ

การฝึก Sensate Focus

Sensate Focus เป็นการปฎิบัติที่คู่สมรสต้องถอดเสื้อผ้าออกทั้งหมดในห้องส่วนตัว แบ่งเป็น 3 ระยะ คือ

  1. ระยะที่ 1 (Non-genital Sensate Focus Exercise) จะไม่อนุญาตให้มีการสัมผัสอวัยวะเพศและเต้านมของคู่สมรส และไม่ให้มีการร่วมเพศ เพื่อให้คู่สมรสได้เรียนรู้ว่านอกจากอวัยวะเพศและเต้านมแล้ว การสัมผัสเล้าโลมส่วนอื่นๆของร่างกายก็สามารถทำให้เกิดอารมณ์และความสุขทางเพศได้เช่นกัน และยังเป็นการลดความกังวลเกี่ยวกับการสัมผัสอวัยวะเพศและการร่วมเพศอีกด้วย ถ้าระหว่างฝึกคู่สมรสมีความต้องการทางเพศสูงมากให้สำเร็จความใคร่ด้วยตนเองแทน
  2. ระยะที่ 2 (Genital Sensate Focus Exercise) จะอนุญาตให้มีการสัมผัสอวัยวะเพศและเต้านมได้ เพื่อให้เริ่มเรียนรู้ว่าจะกระตุ้นอวัยวะเพศและเต้านมอย่างไรจึงจะเป็นที่พอใจ ในระยะนี้ยังไม่อนุญาตให้คู่สมรสร่วมเพศเช่นกัน
  3. ระยะที่ 3 (Intercourse) เมื่อปฏิบัติได้ดีจึงจะอนุญาตให้มีการร่วมเพศจริงๆหลังจากมีการเล้าโลมตามวิธีที่ได้ฝึกปฏิบัติมาจนเกิดความตื่นตัวทางเพศดีแล้ว

การออกกำลังกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน (Kegel’s Exercise)

จุดประสงค์เพื่อทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงและกลั้นปัสสาวะได้ สูติแพทย์จำเป็นต้องตรวจติดตามเพื่อดูว่าผู้ป่วยทำได้ถูกต้องหรือไม่ โดยการใช้นิ้วมือสองนิ้วสอดเข้าช่องคลอดแล้วให้ผู้ป่วยขมิบก้น ถ้ากล้ามเนื้อช่องคลอดรัดนิ้วมือ แสดงว่าผู้ป่วยทำได้ถูกต้องแล้ว การฝึกกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน มีวิธีการดังต่อไปนี้

  1. เกร็งกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานด้วยการขมิบก้นแล้วผ่อนคลายเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ พร้อมทั้งหายใจเข้าออกตามปกติ
  2. เกร็งกล้ามเนื้อแล้วพร้อมนับ 1 ถึง 3 แล้วคลาย หายใจปกติ
  3. เกร็งกล้ามเนื้อช้าๆ นับ 1 ถึง 3 แล้วดึงกล้ามเนื้อให้สุงขึ้น พร้อมทั้งหายใจเข้าลึกๆ ขณะที่เกร็งกล้ามเนื้อไว้ นับ 1 ถึง 3 แล้วคลายกล้ามเนื้อช้าๆ นับ 1 ถึง 3
  4. เมื่อกล้ามเนื้อผ่อนคลาย ให้นับ 1 ถึง 3 เบ่งลงไปที่ก้น คล้ายกับดันสิ่งใดสิ่งหนึ่งออกจากช่องคลอด

การฝึกให้ฝึกทุกวัน ประมาณ 3-4 นาที การปฎิบัติที่ 1 และ 2 ให้ทำ 10 ครั้งต่อวัน เพิ่มเป็น 30 ครั้งต่อวันในระยะเวลา 4-6 สัปดาห์ ส่วนการปฎิบัติวิธีที่ 3 และ 4 ให้ทำวันละ 5 ครั้ง และเพิ่มเป็น 20 ครั้งในระยะเวลา 4-6 สัปดาห์

การรักษาทางจิตใจตามวิธี PLISSIT Model of Sex Therapy

วิธีการรักษาปัญหาทางเพศของ Annom (1976) มี 4 ระดับ ดังนี้

  1. Level 1 : Permission Level คือการส่งเสริมให้ผู้ป่วยพูดคุยเกี่ยวกับปัญหาของตนเอง ผู้รักษาให้ความมั่นใจแก่ผู้ป่วยว่าความคิด พฤติกรรม และสิ่งที่วิตกกังวลนั้นเป็นเรื่องปกติ และเข้าใจดี
  2. Level 2 : Limited Information สอนเรื่องเพศให้ผู้ป่วยทราบ เช่น เรื่องการตอบสนองทางเพศ กายวิภาคของอวัยวะสืบพันธุ์ หรือผลของยา แอลกอฮอล์ต่อหน้าที่ทางเพศ ระยะนี้ผู้รักษาจะต้องขจัดความเชื่อผิดๆออกไป
  3. Level 3 :Specific Suggestions ให้คำแนะนำแก่คู่สมรสเรื่องหนึ่งเรื่องใดโดยเฉพาะ เช่น การทำ Sensate Focus วิธีการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง วิธีการแก้ปัญหาเรื่องการหลั่งเร็ว เป็นต้น
  4. Level 4 : Intensive Therapy ถ้าการรักษาทั้ง 3 ระดับที่ผ่านมาล้มเหลว ให้ใช้การรักษาด้วยวิธีอื่นแทน เช่นวิธีของ Masters and Jhonson หรือ Kaplan

การรักษาทางจิตใจตามวิธีของ Masters and Johnson

เชื่อว่าปัญหาความบกพร่องทางเพสเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ดังนั้นการรักษาจะต้องทำเป็นคู่ สามีและภรรยาจะมีแพทย์เฉพาะเพศช่วยดูแล การรักษาจะเข้มข้นใช้เวลา 2 สัปดาห์ มีการสอบถามประวัติ ตรวจร่างกาย พูดคุยอย่างละเอียดเกี่ยวกับกิจกรรมและความบกพร่องทางเพศ ให้ความสำคัญเกี่ยวกับความรู้และทัศนคติทางด้านลบเรื่องเพศ ลดความวิตกกังวลและช่วยส่งเสริมการสื่อสารระหว่างคู่สมรส มีกิจกรรมให้ทำที่บ้านเพื่อเพิ่มความสุขทางเพศ และสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับความต้องการทางเพศของกันและกัน เช่น การทำ Sensate Focus การแนะนำท่าทางที่เหมาะสมในการร่วมเพศ เป็นต้น

การรักษาทางจิตใจตามวิธีของ Kaplan Model

วิธีนี้มีพื้นฐานความเชื่อในการค้นหาสาเหตุของความบกพร่องทางเพศขณะปัจจุบันและอดีต การรักษาจะรักษาสัปดาห์ละครั้ง ไม่รีบร้อน รักษาไปเรื่อยๆ ไม่จำกัดเวลา โดยมีขั้นตอนดังนี้

  1. ตรวจอวัยวะเพศทั้งภายนอกและภายใน รวมถึงให้ผู้ป่วยสำรวจอวัยวะเพศภายนอกของตนเองด้วย
  2. สำรวจว่าบริเวณไหนของร่างกายที่ไวต่อความรู้สึกทางเพศและทำให้มีความสุข
  3. ลูบคลำร่างกาย อวัยวะเพศ รวมถึง Clitoris ของตนเองเพื่อให้มีความสุข
  4. เสพสื่อที่มีภาพเปลือยเพื่อกระตุ้นอารมณ์ทางเพศและความต้องการทางเพศ
  5. ใช้ Vibrator เพื่อกระตุ้นอารมณ์ทางเพศ
  6. ให้คู่สมรสฝ่ายชายกระตุ้นอารมณืทางเพศด้วยมือหรือปาก
  7. ร่วมเพศ และสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง

เอกสารอ้างอิง (References)

  1. เอนก อารีพรรค, เพศศาสตร์ ในสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา (Human Sexuality in Obstetrics and Gynaecology)มีนาคม 2548
  2. Jonathan S. Berek, Berek & Novak,s Gynecology (Fifteenth edition)
  3. Kaplans’s HS : The New Sex Therapy. London. Bailliere Tindall 1974.
  4. Masters WH, Johnson VE, Kolodney: Human Sexuality 5th Ed. Harper Collius College New York 1995.
  5. Masters WH, Johnson VE: Human Sexual Inadequacy. Little Brown Company. Boston 1970.
  6. ACOG Guideline on Sexual Dysfunction in Women. April 2011.
  7. http://www.emedicinehealth.com/female_sexual_problems/topic-guide.htm
  8. http://www.clevelandclinicmeded.com/medicalpubs/diseasemanagement/womens-health/female-sexual-dysfunction/
  9. http://www.healthywomen.org/condition/sexual-dysfunction
  10. http://www.condomthai.com/sto_01_woman.php
  11. http://medicarezine.com/2016/05/sexual-response-cycle/