การใช้ยาต้านไวรัสในสตรีตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อเอชไอวี
(Antiretroviral therapy in HIV infected pregnant women)
ผศ.พญ.เฟื่องลดา ทองประเสริฐ
การป้องกันการถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีจากมารดาสู่ทารกให้มีประสิทธิภาพเริ่มต้นตั้งแต่การฝากครรภ์ครั้งแรก โดยให้การปรึกษาสตรีตั้งครรภ์และคู่สมรสเพื่อการตรวจเลือดหาการติดเชื้อเอชไอวีโดยสมัครใจในคลินิกฝากครรภ์ เพื่อให้สามารถเริ่มยาต้านไวรัสได้เร็วที่สุดตามข้อแนะนำของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขในกรณีที่สตรีตั้งครรภ์นั้นติดเชื้อเอชไอวี ก่อนการเริ่มยาต้านไวรัส ควรให้ข้อมูลและคำปรึกษาแนะนำเกี่ยวกับประโยชน์ของการได้รับยาต้านไวรัสต่อมารดาและทารกในครรภ์ ผลข้างเคียงของยาต้านไวรัส และการปฏิบัติตัวระหว่างการรับประทานยาต้านไวรัส ในเอกสารคำสอนนี้ได้รวบรวมแนวทางการให้ยาต้านไวรัสในสตรีตั้งครรภ์และทารกหลังคลอด ผลข้างเคียงของยาต้านไวรัสที่พบได้บ่อย แนวทางการตรวจทางห้องปฏิบัติการขณะได้รับยาต้านไวรัส ตามแนวทางของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้แพทย์ทั่วไปและสูติแพทย์นำไปใช้ในเวชปฏิบัติต่อไป
ข้อแนะนำการใช้ยาต้านไวรัสในสตรีตั้งครรภ์และทารกหลังคลอด
1. สตรีตั้งครรภ์ติดเชื้อเอชไอวีที่ไม่เคยได้รับยาต้านไวรัสมาก่อน และ CD4 < 350 cells/mm3
1.1. ระยะก่อนคลอด
- ให้เริ่ม Highly Active Antiretroviral Therapy (HAART) ทันที
- หลีกเลี่ยงการให้ efavirenz ในไตรมาสแรก
- ให้สูตรที่มี zidovudine ร่วมด้วย
- หลีกเลี่ยง nevirapine ในกรณีที่ CD4+ count > 250 cells/mm3 (เนื่องจากมีโอกาสเกิดตับอักเสบจาก nevirapine สูงกว่าสตรีตั้งครรภ์ที่ CD4 < 250 cells/mm3)
- สูตรที่แนะนำในประเทศไทย = zidovudine (300) + lamivudine (150) 1 เม็ด ทุก 12 ชั่วโมง ร่วมกับ lopinavir/ritonavir (200/50) 2 เม็ด ทุก 12 ชั่วโมง
1.2. ระยะเจ็บครรภ์คลอด
- ให้ยาสูตรเดิมต่อ ร่วมกับ
- เพิ่ม zidovudine 300 mg 1 เม็ด ทุก 3 ชั่วโมง หรือ 600 mg ครั้งเดียว
1.3. ระยะหลังคลอด (มารดา)
- ให้ยาสูตรเดิมต่อ จนกว่าจะส่งต่อให้อายุรแพทย์เพื่อปรับยาต้านไวรัสสูตรสำหรับผู้ใหญ่
1.4. ระยะหลังคลอด (ทารก)
- GA > 35 สัปดาห์ : zidovudine syrup 4 mg/kg/dose ทุก 12 ชั่วโมง นาน 4 สัปดาห์
- GA 30 – 35 สัปดาห์ : zidovudine syrup 2 mg/kg/dose ทุก 12 ชั่วโมง นาน 2 สัปดาห์ จากนั้นให้ zidovudine syrup 2 mg/kg/dose ทุก 8 ชั่วโมง นาน 2 สัปดาห์
- GA < 30 สัปดาห์ : zidovudine syrup 2 mg/kg/dose ทุก 12 ชั่วโมง นาน 4 สัปดาห์
2. สตรีตั้งครรภ์ติดเชื้อเอชไอวีที่ไม่เคยได้รับยาต้านไวรัสมาก่อน และ CD4 > 350 cells/mm3
2.1. ระยะก่อนคลอด
- ให้เริ่ม HAART เมื่อเข้าสู่ไตรมาสสอง หรือ 14 สัปดาห์ขึ้นไป
- ให้สูตรที่มี zidovudine ร่วมด้วย
- หลีกเลี่ยง nevirapine ในกรณีที่ CD4+ count > 250 cells/mm3 (เนื่องจากมีโอกาสเกิดตับอักเสบจาก nevirapine สูงกว่าสตรีตั้งครรภ์ที่ CD4 < 250 cells/mm3)
- การให้ zidovudine monotherapy ยังมีข้อโต้แย้งกันอยู่ (ควรใช้เฉพาะในกรณี HIV RNA levels < 1000 copies/mL)
- สูตรที่แนะนำในประเทศไทย = zidovudine (300) + lamivudine (150) 1 เม็ด ทุก 12 ชั่วโมง ร่วมกับ lopinavir/ritonavir (200/50) 2 เม็ด ทุก 12 ชั่วโมง
2.2. ระยะเจ็บครรภ์คลอด
- ให้ยาสูตรเดิมต่อ ร่วมกับ
- เพิ่ม zidovudine 300 mg 1 เม็ด ทุก 3 ชั่วโมง หรือ 600 mg ครั้งเดียว
- เพิ่ม nevirapine 200 mg ครั้งเดียว ในกรณีที่ได้รับ zidovudine monotherapy
2.3. ระยะหลังคลอด (มารดา)
- หยุดยาทุกตัวหลังคลอด ยกเว้น
- ในกรณีได้ nevirapine ให้ zidovudine (300) + lamivudine (150) 1 เม็ด ทุก 12 ชั่วโมงต่ออีก 7 วันหลังคลอด
2.4. ระยะหลังคลอด (ทารก)
- GA > 35 สัปดาห์ : zidovudine syrup 4 mg/kg/dose ทุก 12 ชั่วโมง นาน 4 สัปดาห์
- GA 30 – 35 สัปดาห์ : zidovudine syrup 2 mg/kg/dose ทุก 12 ชั่วโมง นาน 2 สัปดาห์ จากนั้นให้ zidovudine syrup 2 mg/kg/dose ทุก 8 ชั่วโมง นาน 2 สัปดาห์
- GA < 30 สัปดาห์ : zidovudine syrup 2 mg/kg/dose ทุก 12 ชั่วโมง นาน 4 สัปดาห์
3. สตรีตั้งครรภ์ติดเชื้อเอชไอวีที่ได้รับยาต้านไวรัสตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ (หรือเคยได้รับยาต้านไวรัสตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ แต่ปัจจุบันไม่ได้รับยาแล้ว)
3.1. ระยะก่อนคลอด
- ให้ยาต้านไวรัสสูตรเดิมต่อ
- ตรวจ HIV antiretroviral drug-resistance testing ในกรณีเคยได้รับยาต้านไวรัสตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ แต่ปัจจุบันไม่ได้รับยาแล้ว หรือได้รับยาอยู่แต่ยังตรวจพบเชื้อไวรัส (detectable viral load โดยเฉพาะถ้า viral load > 1000 copies/mL หลังได้รับยามาอย่างน้อย 6 เดือน)
- หากสูตรเดิมไม่มี zidovudine ให้พิจารณาเปลี่ยนเป็นสูตรที่มี zidovudine ร่วมด้วยยกเว้นเคยดื้อยาหรือมีผลข้างเคียงจากยา เช่น ซีด
- หลีกเลี่ยงการให้ efavirenz ในไตรมาสแรก (หากสูตรเดิมมี efavirenz อยู่ ให้เปลี่ยนเป็น zidovudine (300) + lamivudine (150) 1 เม็ด ทุก 12 ชั่วโมง ร่วมกับ lopinavir/ritonavir (200/50) 2 เม็ด ทุก 12 ชั่วโมง และสามารถเปลี่ยนกลับเป็นสูตรเดิมได้หลังเข้าไตรมาสสอง)
- หากหยุดยาในไตรมาสแรก ให้หยุดยาทุกตัว แล้วเริ่มใหม่ในไตรมาสสอง
3.2. ระยะเจ็บครรภ์คลอด
- ให้ยาสูตรเดิมต่อ ร่วมกับ
- เพิ่ม zidovudine 300 mg 1 เม็ด ทุก 3 ชั่วโมง หรือ 600 mg ครั้งเดียว
3.3. ระยะหลังคลอด (มารดา)
- ให้ยาสูตรเดิมก่อนเปลี่ยน หรือส่งต่อให้อายุรแพทย์เพื่อปรับยาต้านไวรัสสูตรสำหรับผู้ใหญ่
3.4. ระยะหลังคลอด (ทารก)
- GA > 35 สัปดาห์ : zidovudine syrup 4 mg/kg/dose ทุก 12 ชั่วโมง นาน 4 สัปดาห์
- GA 30 – 35 สัปดาห์ : zidovudine syrup 2 mg/kg/dose ทุก 12 ชั่วโมง นาน 2 สัปดาห์ จากนั้นให้ zidovudine syrup 2 mg/kg/dose ทุก 8 ชั่วโมง นาน 2 สัปดาห์
- GA < 30 สัปดาห์ : zidovudine syrup 2 mg/kg/dose ทุก 12 ชั่วโมง นาน 4 สัปดาห์
4. สตรีตั้งครรภ์ที่ไม่เคยได้รับยาต้านไวรัสมาก่อน และอยู่ในระยะเจ็บครรภ์คลอด
4.1. ระยะเจ็บครรภ์คลอด
- ให้ zidovudine 300 mg 1 เม็ด ทุก 3 ชั่วโมง หรือ 600 mg ครั้งเดียว ร่วมกับ ให้ nevirapine 200 mg ครั้งเดียว
- หากคาดว่าจะคลอดภายใน 2 ชั่วโมง ไม่ควรให้ nevirapine เนื่องจากยายังไม่สามารถผ่านไปยังทารกได้ทัน ทำให้ดื้อยาโดยไม่จำเป็น (ให้เฉพาะ zidovudine 600 mg ครั้งเดียว)
4.2. ระยะหลังคลอด (มารดา)
- ให้ zidovudine (300) + lamivudine (150) 1 เม็ด ทุก 12 ชั่วโมง ร่วมกับ lopinavir/ritonavir (200/50) 2 เม็ด ทุก 12 ชั่วโมง จนกว่าจะทราบผล CD4
- CD4 > 350 cells/mm3 : ให้ zidovudine (300) + lamivudine (150) 1 เม็ด ทุก 12 ชั่วโมง ร่วมกับ lopinavir/ritonavir (200/50) 2 เม็ด ทุก 12 ชั่วโมง จนครบ 4 สัปดาห์ แล้วหยุดยาทั้งหมด
- CD4 < 350 cells/mm3 : ส่งปรึกษาอายุรแพทย์เพื่อให้ยาต้านไวรัสสำหรับผู้ใหญ่
- ในกรณีไม่ได้ nevirapine (ได้เฉพาะ zidovudine) สามารถหยุด zidovudine หลังคลอด จนกว่าจะทราบผล CD4 หาก < 350 cells/mm3 ให้ส่งปรึกษาอายุรแพทย์เพื่อให้ยาต้านไวรัสสำหรับผู้ใหญ่
4.3. ระยะหลังคลอด (ทารก)
- zidovudine syrup 4 mg/kg/dose ทุก 12 ชั่วโมง ร่วมกับ lamivudine syrup 2 mg/kg/dose ทุก 12 ชั่วโมง นาน 4 – 6 สัปดาห์ ร่วมกับ nevirapine syrup 4 mg/kg/dose ทุก 24 ชั่วโมง นาน 2 – 4 สัปดาห์
- หยุดยา ziduvudine + lamivudine หลังจากหยุดยา NVP แล้ว 2 สัปดาห์
การวินิจฉัยการรักษาล้มเหลว
เมื่อมีข้อบ่งชี้ว่าการรักษาด้วยยาต้านไวรัสล้มเหลว ควรเปลี่ยนสูตรยาต้านไวรัสหรือปรึกษาอายุรแพทย์โรคติดเชื้อเพื่อให้การดูแลรักษาต่อ
1. การรักษาล้มเหลวทางไวรัส (virological failure)
- ตรวจพบ viral load มากกว่า 400 copies/mL หลังได้รับยาสม่ำเสมอนาน 6 เดือน หรือ
- ตรวจพบ viral load มากกว่า 50 copies/mL หลังได้รับยาสม่ำเสมอนาน 12 เดือน หรือ
- เคยตรวจพบ viral load น้อยกว่า 50 copies/mL แล้วกลับตรวจพบ viral load มากกว่า 50 copies/mL ขณะได้รับยาสม่ำเสมอ
2. การรักษาล้มเหลวทางระบบภูมิคุ้มกัน (immunological failure)
- ระดับ CD4 เพิ่มน้อยกว่า 50 cells/mm3 หลังได้รับยามานาน 12 เดือน หรือ
- ระดับ CD4 ลดลงมากกว่า 30% จากค่าสูงสุด หรือ
- ระดับ %CD4 ลดลงมากกว่า 3 หรือ
- ระดับ CD4 ลดลงน้อยกว่าก่อนเริ่มรักษา
แนวทางการตรวจทางห้องปฏิบัติการในสตรีตั้งครรภ์ติดเชื้อเอชไอวี
1. CD4
- ตรวจก่อนเริ่มยาทุกราย
- ตรวจซ้ำหลังได้รับยา 6 เดือน
2. Viral load
- ตรวจเมื่ออายุครรภ์ 36 สัปดาห์
- ในกรณีไม่สามารถตรวจหาปริมาณ virus ได้ สตรีตั้งครรภ์ส่วนใหญ่จะมีปริมาณ viral load น้อยกว่า 1000 copies/mL หากได้รับยาสม่ำเสมอนานอย่างน้อย 8 – 12 สัปดาห์
3. CBC
- ตรวจก่อนเริ่มยาทุกราย
- ตรวจซ้ำหลังได้รับยาทุก 4 – 8 สัปดาห์ (zidovudine)
4. AST/ALT
- ตรวจก่อนเริ่มยาทุกราย
- ตรวจซ้ำหลังได้รับยาทุก 4 – 8 สัปดาห์ (nevirapine)
5. GCT
- ตรวจก่อนเริ่มยาทุกราย (lopinavir/ritonavir)
- ตรวจซ้ำเมื่ออายุครรภ์ 24 – 28 สัปดาห์ หรือ หลังได้รับยา 4 สัปดาห์
ผลข้างเคียงที่พบบ่อยหรือรุนแรง และข้อควรระวังในการใช้ยาต้านไวรัสแต่ละชนิดในสตรีตั้งครรภ์
1. Zidovudine (AZT 200 mg/tab)
- ผลข้างเคียง : คลื่นไส้อาเจียน, bone marrow suppression (anemia, neutropenia)
- อาการคลื่นไส้อาเจียน ให้รักษาตามอาการ
- อาการซีด เกิดหลังได้รับยา 2 – 3 สัปดาห์ จนถึงหลายเดือน
- ในรายที่ Hb < 8 g/dL หรือ Hct < 24% ไม่ควรใช้ AZT
- ในรายที่ซีดไม่มาก ให้ ferrous และ folic acid supplementation และให้ยาต่อ
- ในรายที่ซีดรุนแรง เปลี่ยนยา AZT เป็น d4T
2. Lamivudine (3TC 150 mg/tab)
- ไม่มีผลข้างเคียงที่รุนแรง
3. Stavudine (d4T 30 mg/tab)
- ผลข้างเคียง : peripheral neuropathy, lactic acidosis
- Peripheral neuropathy เกิดหลังได้รับยาหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน เป็นผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยถึงร้อยละ 50 และพบบ่อยขึ้นหากได้ยา d4T ร่วมกับ ddI การรักษาให้รักษาตามอาการ และพิจารณาหยุดยาต้านไวรัสหากอาการเป็นมากขึ้น
- Lactic acidosis เกิดหลังจากได้รับยาหลายเดือน เป็นผลข้างเคียงที่พบได้น้อย แต่รุนแรงจนเสียชีวิตได้ เริ่มแรกอาจมีอาการทางระบบทางเดินอาหาร เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย จากนั้นจะมีอาการหอบเหนื่อย หายใจเร็ว ชีพจรเต้นเร็ว และมีภาวะหายใจล้มเหลวตามมา การตรวจระดับ lactate จะพบว่ามีค่าสูงกว่า 5 mmol/L และมีค่า arterial pH ต่ำ ภาวะนี้จะพบบ่อยขึ้นหากได้รับยา d4T ร่วมกับ ddI การรักษาให้หยุดยาต้านไวรัส และ supportive treatment
- ห้ามให้ยา d4T ร่วมกับ ddI ขณะตั้งครรภ์โดยเด็ดขาด
4. Nevirapine (NVP 200 mg/tab)
- ผลข้างเคียง : skin rash, hepatotoxicity
- Skin rash เกิดหลังได้รับยา 2 – 3 วัน จนถึงหลายสัปดาห์ ผื่นมีลักษณะ diffuse maculopapular rash อาจคันหรือไม่ก็ได้ ในรายที่รุนแรงอาจมี mucous membrane involvement ร่วมด้วย ในรายที่มีอาการน้อย ให้รักษาด้วย antihistamine และให้ยาต้านไวรัสต่อ หรือเปลี่ยนยา NVP ในรายที่เป็นรุนแรง
- Hepatotoxicity เกิดหลังได้รับยา 1 – 2 สัปดาห์ จนถึงหลายเดือน อาจไม่มีอาการแต่ตรวจพบ serum transaminase elevation หรือมี clinical ของ hepatitis โดยมีปัจจัยเสี่ยงได้แก่ ระดับ CD4 ก่อนเริ่มยามากกว่า 250 cells/mm3, มีระดับ AST หรือ ALT สูงก่อนเริ่มยา, ติดเชื้อ HBV หรือ HCV ร่วมด้วย การป้องกันทำได้โดยให้เริ่ม NVP 200 mg ทุก 24 ชั่วโมง ใน 2 สัปดาห์แรกในรายที่ไม่เคยได้รับยามาก่อน, หลีกเลี่ยงการให้ NVP ในรายที่มีระดับ CD4 > 250 cells/mm3 และหากตรวจพบว่า AST/ALT > 2.5 เท่าของ upper limit ก่อนหรือขณะได้รับยา NVP ไม่ควรใช้ NVP ควรเปลี่ยนไปใช้ EFV หรือ LPV/r แทน
5. Tenofovir (TDF)
- ผลข้างเคียง : nephrotoxicity, ลด bone mineral density
- Nephrotoxicity เกิดหลังได้รับยาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน อาจมีหรือไม่มีอาการก็ได้ จะตรวจพบระดับ serum creatinine สูง, พบ proteinuria, glycosuria, hypokalemia เป็นต้น วิธีการป้องกันคือ ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาที่มีพิษต่อไตร่วมด้วย และตรวจติดตามระดับ serum creatinine ทั้งก่อนและหลังให้ยา หากพบว่ามีระดับสูงมากขึ้น อาจพิจารณาลดขนาดยา หรือเปลี่ยนเป็นยาตัวอื่น
- นอกจากนี้ TDF ยังพบว่ามีผลทำให้มวลกระดูกลดลงในผู้ป่วยบางราย และทำให้เกิดภาวะ osteomalacia ได้ในผู้ใหญ่ที่ใช้ยานี้ สำหรับทารกในครรภ์ที่มารดาได้รับ TDF เป็นระยะเวลานานจะพบภาวะทารกโตช้าในครรภ์ (fetal growth retardation) และลดความหนาแน่นของกระดูกของทารกในครรภ์
6. Efavirenz (EFV, stocrin 600 mg/tab)
- ผลข้างเคียง : hepatotoxicity, teratogenicity
- Hepatotoxicity คล้ายกับ NPV
- Teratogenicity มีรายงานการเกิด anencephaly, anophthalmia, microphthalmia และ cleft palate ในลิงที่ได้รับ EFV และมีรายงานการเกิด myelomeningocele และ anophthalmia ในทารกที่มารดาได้รับ EFV ในระยะเริ่มแรกของการตั้งครรภ์ ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการใช้ EFV ในสตรีตั้งครรภ์โดยเฉพาะอย่างยิ่งในไตรมาสแรก
7. PIs เช่น LPV/r
- ผลข้างเคียง : insulin resistance, hyperlipidemia,
- Insulin resistance และ เบาหวาน เกิดหลังได้รับยากลุ่ม PIs หลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน วิธีป้องกันทำได้โดยตรวจ GCT และ/หรือ OGTT ก่อนให้ยา และหลีกเลี่ยงการให้ยากลุ่มนี้ในสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะ GDM และควรตรวจ GCT และ/หรือ OGTT ซ้ำในช่วงอายุครรภ์ 24 – 28 สัปดาห์
- Hyperlipidemia เกิดหลังได้รับยากลุ่ม PIs หลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน จะตรวจพบการเพิ่มขึ้นของระดับ LDL, total cholesterol, triglyceride โดย ATV/r จะพบการเพิ่มของระดับไขมันในกระแสเลือดน้อยกว่า PIs ชนิดอื่นๆ วิธีป้องกันทำได้โดยตรวจ fasting lipid profile ก่อนเริ่มยาและ 3 – 6 เดือนหลังเริ่มยา หากพบว่ามีความผิดปกติของระดับไขมันในกระแสเลือด ให้ปรับเปลี่ยนสูตรยาที่มีผลน้อยต่อภาวะ hyperlipidemia
- การใช้ยากลุ่ม PIs ในสตรีตั้งครรภ์มีข้อควรระมัดระวังในการใช้ยากลุ่ม ergot alkaloids เช่น methergine เนื่องจากอาจเกิดภาวะ severe vasoconstriction ได้ จึงห้ามให้ methergine แต่ให้ใช้ oxytocin หรือยากระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูกกลุ่มอื่นแทน
ตารางที่ 1 ประเภทของยาต้านไวรัส, ความปลอดภัยในสตรีตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อเอชไอวี และอาการข้างเคียงที่พบได้บ่อย (Classes of antiretroviral drugs, Food and Drug Administration pregnancy (FDA) pregnancy category classification and common side effects)
Drug class |
FDA category |
Nucleoside and nucleoside analog reverse transcriptase inhibitors (NRTIs) Zidovudine (AZT) Stavudine (D4T) Lamivudine (3TC) Abacavir (ABC) Zalcitabine (ddC) Tenofovir (TDF) Emtricitabine (FTC) Didanosine (ddI) |
C C C C C B B B |
Non-nucleoside reverse transcriptase inhibitors (NNRTIs) Nevirapine (NVP) Efavirenz (EFV) Delavirdine (DVL) |
B D C |
Protease inhibitors Lopinavir / ritonavir (LPV/r, Kaletra) Indinavir (IDV) Amprenavir (APV) Fosamprenavir (FPV) Ritonavir (RTV) Nelfinavir (NFV) Atazanavir (ATV) Saquinavir (SQV) Darunavir (DRV) |
C C C C B B B B B |
Entry inhibitors Enfuvirtide (ENF) Maraviroc |
B B |
Integrase inhibitors Raltegravir (RAL) |
C |
ยาต้านไวรัสสูตรผสมยาหลายชนิดในเม็ดเดียว (fixed-dose combination) ที่มีใช้ในประเทศไทย
- GPO-vir Z = AZT (250) + 3TC (150) + NVP (200)
- GPO-vir S30 = d4T (30) + 3TC (150) + NVP (200)
- Zilavir = AZT (300) + 3TC (150)
- Lastavir = d4T (30) + 3TC (150)
- Kaletra = LPV (200) + RTV (50)
- Truvada = TDF (300) + FTC (200)
ภาพตัวอย่างขวดยาและเม็ดยาต้านไวรัสชนิดต่างๆ
1. ภาพเม็ดยาต้านไวรัสชนิดต่างๆ
1. Atazanavir (Reyataz®) 2. Tenofovir (TDF®) 3. Efavirenz ของ GPO 4. Efavirenz (Stocrin®)
5. Zidovudine (Antivir®) 6. Lastavir® 7. Lamivudine (Lamivir®) 8. Lopinavir / ritonavir ของ GPO
9. Stavudine (Stavir®) 10. Nevirapine (Neravir®) 11. GPO-vir® S30 12. GPO-vir® Z
2. Zidovudine (AZT)
3. Stavudine (D4T)
4. Lamivudine (3TC)
5. Nevirapine (NVP)
6. Lastavir
7. GPO-vir Z
8. GPO-vir S30
9. Efavirenz (EFV)
10. Efavirenz (EFV)
11. Lopinavir / ritonavir
12. Atazanavir (ATV)
13. Tenofovir (TDF)
เอกสารอ้างอิง
- การป้องกันการถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีจากมารดาสู่ทารกด้วยยาต้านไวรัส. ใน: ประพันธ์ ภานุภาค และคณะ, บรรณาธิการ. แนวทางการตรวจวินิจฉัยและการดูแลรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ระดับชาติ ปี พ.ศ. 2553. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทยจำกัด, 2553: 293-327.
- Cunningham FG, Leveno KJ, Bloom SL, Hauth JC, Rouse, DJ, Spong CY. Sexually transmitted diseases. Williams Obstetrics. 23rd ed. New York: McGraw-Hill, 2010: 1235-1257.