Training Levels
Residency Training
แพทย์ประจำบ้านนอกเหนือจากการเลคเชอร์ตามหัวข้อการฝึกอบรมด้านเวชศาสตร์มารดาและทารก ตามที่ราชวิทยาลัยสูติศาสตร์และนรีแพทย์แห่งประเทศไทยได้กำหนดไว้ จะต้องผ่านการฝึกอบรมพิเศษด้านเวชศาสตร์มารดาและ
ทารกอย่างน้อย 1 เดือน โดยเน้นการฝึกอัลตราซาวด์ การแปลผล fetal surveillance การดูแลครรภ์เสี่ยงสูง และการวินิจฉัยก่อนคลอด
Fellowship Training
- หน่วยเวชศาสตร์มารดาและทารกได้รับการรับรองให้ฝึกอบรมการศึกษาต่อยอดจากราชวิทยาลัยสูติศาสตร์และนรีแพทย์แห่งประเทศไทย โดยสามารถรับฝึกอบรมได้ปีละ 1-2 คน
- หลักสูตร คือ
- ชื่อหลักสูตรภาษาไทย : หลักสูตรการฝึกอบรมต่อยอดอนุสาขาเวชศาสตร์มารดาและทารก
- ชื่อหลักสูตรภาษาอังกฤษ : Curriculum for Subspecialty Training in Maternal-Fetal Medicine
- ชื่อวุฒิภาษาไทย : ประกาศนียบัตรแสดงความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรม อนุสาขาเวชศาสตร์มารดาและทารก
- ชื่อย่อวุฒิภาษาไทย : ว.ว. (สูติ-นรีเวช), เวชศาสตร์มารดาและทารก
- ชื่อวุฒิภาษาอังกฤษ : Certificate of Thai Board of Subspecialty in Maternal-Fetal Medicine
- ชื่อย่อวุฒิภาษาอังกฤษ : Dip Thai Board Obstet & Gynecol, Cert. Maternal-Fetal Medicine
- เวลาของการฝึกอบรม การฝึกอบรมจะใช้เวลา 2 ปี
- เวลาเริ่มต้นการฝึกอบรมในแต่ละปี 1 มิถุนายน
- ผู้ที่ผ่านการฝึกอบรม ได้รับการประเมินให้ผ่านโดยสถาบัน และการสอบตามเกณฑ์ของราชวิทยาลัย สูตินรีแพทย์ แห่งประเทศไทย จะได้รับประกาศนียบัตรแสดงความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรม อนุสาขาเวชศาสตร์มารดาและทารก
- การรับสมัครและคัดเลือกผู้เข้าฝึกอบรมต่อยอดสาขาเวชศาสตร์มารดาและทารก เวลาหมดเขตสมัครในแต่ละปี 31 มีนาคม
- การยื่นสมัครเข้าฝึกอบรม กรอกแบบฟอร์มการสมัครและยื่นตรงต่อราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย
- การสัมภาษณ์ผู้ยื่นสมัครเข้ารับการฝึกอบรม สัมภาษณ์และกำหนดวันเวลาโดยสถาบันฝึกอบรม
- คุณสมบัติของผู้รับการฝึกอบรม ต้องประกอบด้วยคุณสมบัติดังต่อไปนี้
- ผู้ที่ได้รับวุฒิบัตรหรืออนุมัติบัตรแสดงความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรม สาขาสูติศาสตร์นรีเวชวิทยาจากแพทยสภา
- ผู้ที่จบการศึกษาและฝึกอบรมจากสถาบันต่างประเทศที่เทียบเท่าคุณสมบัติในข้อ 1
- โดยความเห็นชอบของราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย
- ไม่มีประวัติเสื่อมเสียในด้านจริยธรรม
โปรแกรมการฝึกอบรม (Fellowship)
แต่ละสถาบันฝึกอบรมจะต้องจัดระบบการบริหารเวลาอย่างเหมาะสม โดยมีตารางโปรแกรมการปฏิบัติงานที่ชัดเจน ซึ่งแต่ละสถาบันอาจปรับเปลี่ยน เวลาและปริมาณให้เข้าสภาพการปฏิบัติงานของแต่ละสถาบัน ตารางเวลาการปฏิบัติงานควรครอบคลุมหัวข้อหลักดังต่อไปนี้
1. การปฏิบัติงานด้านคลินิก
- บริการผู้ป่วยนอกในคลินิกครรภ์เสี่ยงสูง หรือคลินิกที่สัมพันธ์กับเวชศาสตร์มารดาและทารก
- บริการผู้ป่วยใน ในหอผู้ป่วยครรภ์เสี่ยงสูง รวมทั้งห้องคลอดครรภ์เสี่ยงสูง
- บริการงานของสาขาต่อยอดในหน่วยเวชศาสตร์มารดาและทารก
- งานบริการด้านคลื่นเสียงความถี่สูงทางสูติศาสตร์ รวมถึงคลื่นเสียงดอพเลอร์
- การตรวจสุขภาพทารกในครรภ์ (NST, AST, CST, BPP, Doppler)
- หัตถการรุกล้ำร่างกาย : เจาะน้ำคร่ำ (ปีที่หนึ่ง), ตัดชิ้นเนื้อรก และเจาะเลือดสายสะดือ, เทคนิครักษาทารกในครรภ์อื่น ๆ (ปีที่สอง)
- รับปรึกษาเมื่อมีผู้ป่วย (on call) กรณีผู้ป่วยมีปัญหาซับซ้อน
2. การปฏิบัติงานทางห้องปฏิบัติการ (ปีละ 1 เดือน)
- ปฏิบัติงานในห้องปฏิบัติการเซลล์พันธุศาสตร์
- ปฏิบัติงานห้องปฏิบัติการที่เกี่ยวข้อง (พันธุกรรมระดับโมเลกุล, HPLC, screening lab ฯลฯ)
3. การหมุนเวียนปฏิบัติงานนอกภาควิชาสูติศาสตร์
- ห้องทารกแรกเกิด (1 เดือน)
- ภาควิชาวิสัญญีวิทยา (1 เดือน)
- ภาควิชาพยาธิวิทยา (1 เดือน)
4. งานกิจกรรมการเรียนการสอน
- วารสารสโมสรทางเวชศาสตร์มารดาและทารก (เดือนละ 1 ครั้ง)
- ประชุมวิชาการเวชศาสตร์มารดาและทารก (เดือนละ 1 ครั้ง)
- รายงานผู้ป่วย (คลื่นเสียงความถี่สูง, ครรภ์ที่มีปัญหาซับซ้อน) (สัปดาห์ละ 1 ครั้ง)
- วารสารสโมสร, หัวข้อทบทวนวิชาการ ของภาควิชา (ส่วนที่เกี่ยวข้อง)
- ร่วมฟังบรรยายทางวิชาการ (อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง) หัวข้อการบรรยายที่สำคัญอาจมีดังต่อไปนี้ (ปรับได้ตามความเหมาะสม )
- การให้คำปรึกษาทางพันธุกรรม
- เซลล์พันธุศาสตร์
- พันธุศาสตร์ระดับโมเลกุล
- การคัดกรองและวินิจฉัยก่อนคลอดความผิดปกติของโครโมโซม
- การคัดกรองและวินิจฉัยก่อนคลอดโรคธาลัสซีเมีย
- โรคและพยาธิวิทยาของทารก
- การตรวจคลื่นเสียงความถี่สูงขั้นละเอียดในการคัดกรองความพิการโดยกำเนิดของระบบประสาท หัวใจ ทางเดินอาหาร ท่อทางเดินปัสสาวะ โครงร่าง แขนขา
- คลื่นเสียงความถี่สูงของหัวใจทารกในครรภ์
- ดอพเลอร์ในทางสูติศาสตร์
- ทารกบวมน้ำ
- ทารกที่มีความผิดปกติของโครโมโซม
- การติดเชื้อของทารกในครรภ์
- กลุ่มอาการสำคัญของทารกในครรภ์
- ทารกโตช้าในครรภ์
- การรักษาทารกในครรภ์
- การติดเชื้อเอชไอวีในสตรีตั้งครรภ์
- การตรวจสุขภาพทารกก่อนระยะคลอด
- การตรวจสุขภาพทารกในระยะคลอด
- การใช้ยาในสตรีตั้งครรภ์
- โรคแทรกซ้อนทางอายุกรรมในสตรีตั้งครรภ์ที่สำคัญ เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ โรคไต
5. การหมุนเวียนต่างภาควิชา
- วิสัญญีวิทยา (1 เดือน)
- กุมารเวชศาสตร์ทารกแรกเกิด (1 เดือน)
- พยาธิวิทยา (1 เดือน)
6. การวิจัย
- เลือกทำวิจัย 1 เรื่องที่เกี่ยวข้องกับเวชศาสตร์มารดาและทารก
- นำเสนอโครงร่างวิจัยภายใน 6 เดือนแรกของการฝึกอบรม
- ทำวิจัย พร้อมรายงานความคืบหน้าเป็นระยะในการประชุมทางวิชาการของหน่วย
- ให้ความร่วมมือช่วยเหลืองานวิจัยอื่น ๆ ในหน่วยตามความเหมาะสม
การประเมินผล
ผู้ที่ได้รับการฝึกอบรมแพทย์เฉพาะทางต่อยอดสาขาเวชศาสตร์มารดาและทารกครบตามหลักสูตรแล้ว และผ่านการประเมินผลจากสถาบันฝึกอบรม จะมีสิทธิ์สมัครสอบเพื่อประกาศนียบัตรสาขาเวชศาสตร์มารดาและทารก ตามที่กำหนดโดยราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย ์แห่งประเทศไทย
1. การประเมินเพื่อปรับปรุง (formative evaluation)
เป็นการประเมินในระหว่างการฝึกอบรมซึ่งประเมินผลอย่างเป็นทางการโดยคณาจารย์ ประจำหน่วยของแต่ละสถาบัน และรับรองโดยหัวหน้าสถาบัน ซึ่งประเมินทั้ง
- ด้านปัญญาวิสัย (cognitive domain) คือการประเมินด้านความรู้ ความสามารถในการใช้วิจารณญาณเพื่อการแก้ปัญหา โดยประเมินจากการเฝ้าสังเกตพัฒนาการการเรียนรู้ การดูแลรักษา การปฏิบัติหน้าที่จากสถานการณ์จริง การแสดงออกในการแก ้ปัญหา แนวคิด การวิเคราะห์ข้อมูล การมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางวิชาการต่าง ๆ
- ด้านจลนพิสัย (psychomotor domain) คือการประเมินด้าน ทักษะในการบริบาลผู้ป่วย ทักษะในการทำหัตถการ ทักษะในการสื่อสาร ทักษะในการให้คำปรึกษา ทักษะในการถ่ายทอดความรู้หรือข้อแนะนำ โดยประเมินจากการเฝ้าสังเกตจากการปฏิบัติหน้าที่ในสถานการณ์จริง เน้นทักษะและขั้นตอนการปฏิบัติ รวมทั้งการประเมินจากสมุดบันทึกการปฏิบัติงาน (log book)
- ด้านเจตคติพิสัย (affective domain) เป็นการประเมินด้านจริยธรรม และมารยาทแห่งการประกอบวิชาชีพ วัดจากการเฝ้าสังเกตพฤติกรรม เช่น ความซื่อสัตย์สุจริต ความรับผิดชอบ การตรงต่อเวลา การมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีต่อผู้ป่วย ผู้เกี่ยวข้อง และเพื่อนร่วมงาน การควบคุมอารมณ์ได้ การมีน้ำใจ การปฏิบัติตามกฏหมายว่าด้วยสิทธิของผู้ป่วย เป็นต้น ในกรณีที่ผู้รับการฝึกอบรมไม่สามารถ ปฏิบัติตามแนวทางที่กำหนดไว้ ขาดความรับผิดชอบ ขาดจริยธรรม ผู้ฝึกอบรมอาจอาจพิจารณายุติการฝึกอบรมได้
สถาบันฝึกอบรมจะต้องทำหน้าที่ประเมินทั้งสามกรณีข้างต้น แล้วสรุปว่าผ่าน จึงมีสิทธิ์สมัครสอบส่วนกลาง
เมื่อสิ้นสุดการฝึกอบรม
2. การประเมินผลเมื่อสิ้นสุดการฝึกอบรม (summative evaluation)
ประเมินโดยคณะกรรมการส่วนกลางจากราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย โดยประเมินผลการวิจัย การสอบข้อเขียน และการสอบสัมภาษณ์ การสอบผ่าน หมายถึงการสอบผ่านทั้งสามกรณีต่อไปนี้ (ถ้าไม่ผ่านให้สอบใหม่เฉพาะส่วนที่ไม่ผ่านในโอกาสต่อไป)
- การตรวจวิจัยฉบับสมบูรณ์ ดังเกณฑ์ที่ได้กล่าวไว้ในส่วนการประเมินผลวิจัยของราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย
- สอบข้อเขียน ทำการสอบเฉพาะประเภท multiple choices question (MCQ) ซึ่งออกข้อสอบโดยคณะกรรมการส่วนกลางจำนวน 150 ข้อ (ข้อสอบที่สอดคล้องกับเนื้อหาวิชาของหลักสูตร) ต้องสอบผ่านเกินร้อยละ 60 จึงถือว่าสอบผ่าน
- การสอบปากเปล่า สอบโดยคณะกรรมการส่วนกลาง
Course Contents (Fellowship)
1. มีความรู้ก้าวหน้าทางเวชศาสตร์มารดาและทารก
วัตถุประสงค์:
ผู้ฝึกอบรมมีความเข้าใจอย่างดีและสามารถอภิปรายได้ดีถึงความรู้ก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์พื้นฐานของการตั้งครรภ์ทั้งในแนวกว้างและแนวลึกในหัวข้อดังต่อไปนี้
วิทยาศาสตร์พื้นฐานของตั้งครรภ์
1. เอ็นโดครีนวิทยาของการตั้งครรภ์
- โครงสร้าง การสังเคราะห์ และการควบคุมการทำงานของฮัยโปธาลามัส ต่อมใต้สมอง ต่อมธัยรอยด์ ต่อมพาราธัยรอยด์ ต่อมหมวกไต ตับอ่อน รังไข่ และรก
- การทำงาน เมตะบอลิซึม ของฮอร์โมนสำคัญต่าง ๆ เช่น เอสโตรเจน แอนโดรเจน คอร์ติซอล ธัยรอยด์ฮอร์โมน ฮอร์โมนจากรก
- Paracrine hormone ต่าง ๆ เช่น พรอสตาแกลนดินส์ insulin-like growth factors, inhibin เป็นต้น
- Cytokines ต่าง ๆ เช่น interleukin เป็นต้น
2. สรีรวิทยาของการตั้งครรภ์และการคลอด
- การปรับตัวของระบบต่าง ๆ ขณะตั้งครรภ์
- ระบบหัวใจและหลอดเลือด
- ระบบโลหิตวิทยา
- ระบบทางเดินหายใจ
- ระบบทางเดินปัสสาวะและระบบสืบพันธุ์
- ระบบทางเดินอาหาร
- การเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ เช่น โภชนาการ อีเลคโตรไลท์ สภาพจิตใจและอารมณ์
- สรีรวิทยาของการเจ็บครรภ์คลอด : ระดับโมเลกุล และความสัมพันธ์ทางคลินิก
3. คัพภะวิทยาและสรีรวิทยาของทารกในครรภ์
- พัฒนาการของทารกในครรภ์ตั้งแต่ gametogenesis
- การทำงานของโครงสร้างต่าง ๆ ของทารกในครรภ์ (ระบบเอ็นโดครีน หัวใจและหลอดเลือด การดิ้น โลหิตวิทยา ทางเดินอาหาร ทางเดินปัสสาวะ ระบบอิมมูน เป็นต้น)
- กลไกการตอบสนองต่อภาวะขาดออกซิเจน
4. การก่อลูกวิรูป (teratology)
- ความรู้ก้าวหน้าเกี่ยวกับปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ ต่อการเกิดความพิการของทารก
- สารก่อลูกวิรูปที่สำคัญ เช่น ไวรัสต่าง ๆ แอลกอฮอล์ โคเคน เป็นต้น
5. สรีรวิทยาของรก
- พัฒนาการและการทำงานของรก รวมทั้งการขนย้ายสารผ่านรก การแลกเปลี่ยนสารต่าง ๆ
- การทดสอบการทำงานของรก : เช่น Doppler velocimetry
- การสร้างและหลั่งสารต่าง ๆ ของรก
7. ชีวเคมี และเภสัชวิทยาที่สัมพันธ์กับการตั้งครรภ์
- เมตาบอลิซึมของยาหรือสารต่าง ๆ ที่ผ่านรก และผลต่อทารก
- ยาหรือสารต่าง ๆ ที่มีผลก่อลูกวิรูป
- ยาและการหลั่งน้ำนม
- ปฏิกริยาระหว่างยาต่าง ๆ
8. พยาธิวิทยาที่สัมพันธ์กับทารกและการตั้งครรภ์
- พยาธิวิทยาของทารก (การชัณสูตรศพ ความพิการโดยกำเนิดที่สำคัญ การแท้ง เป็นต้น)
- พยาธิวิทยาของรก (รูปร่างและขนาดที่ผิดปกติ ก้อนเนื้องอก การเกาะของสายสะดือผิดที่ เป็นต้น)
9. พันธุศาสตร์
- การถ่ายทอดทางพันธุกรรมในรูปแบบต่าง ๆ
- โรคสำคัญทางพันธุกรรม เช่น ธาลัสซีเมีย ฮีโมฟิลเลีย เปลือกต่อมหมวกไตหนา เป็นต้น
- Cytogenetics
- ความผิดปกติทางโครโมโซมที่สำคัญ ได้แก่ trisomy 13, 18, 21, triploidy, 45X เป็นต้น
- พันธุศาสตร์ชีวโมเลกุล (องค์ประกอบและการทำงานของยีนส์ PCR มิวเตชั่น วิธีการตรวจหามิวเตชั่นต่าง ๆ วิธีเรียงลำดับเบส เป็นต้น)
- การให้คำปรึกษาทางพันธุกรรม
10. อิมมูโนวิทยาที่สัมพันธ์กับการตั้งครรภ์
- หลักพื้นฐานในการตอบสนองทางภูมิคุ้มกัน
- ต้นกำเนิดและการทำงานของอิมมูโนกลอบบูลินต่าง ๆ และ T,B lymphocytes
- ระบบ HLA
- Monoclonal antibodies
- ทารกในฐานะ graft
- การประยุกต์ความรู้ในทางคลินิก เช่น Rh isoimmunization หรือโรคออโตอิมมูน เป็นต้น
ศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง
1. วิสัญญีวิทยา
- การออกฤทธิ์และจลน์ศาสตร์ของยาทางวิสัญญีวิทยา : ยาดมสลบ ยาชาเฉพาะที่ ยาระงับปวด
- ภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญ : หัวใจหยุดเต้น การหยุดหายใจ ปฏิกริยาจากยา การสูดสำลัก
- การดูแลและติดตามผู้ป่วยที่ไม่รู้สึกตัว ผู้ป่วยหนัก
2. ทารกแรกคลอด
- สรีรวิทยาของรกแรกคลอด
- การช่วยชีวิตทารกแรกคลอด
- ปัญหาที่พบบ่อยในทารกแรกคลอด : ภาวะกดการหายใจ เหลือง ติดเชื้อ ชัก น้ำตาลต่ำ แคลเซียมต่ำ อุณหภูมิต่ำ เลือดออกในสมอง โตช้า ปัญหาที่สัมพันธ์กับการคลอดก่อนกำหนด
- ภาวะพิการโดยกำเนิดที่สำคัญ เช่น กลุ่มอาการดาวน์ เป็นต้น
3. การวิจัยและชีวสถิติ
- วิธีการวิจัย การให้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์
- การอ่านวารสารทางคลินิก (ธรรมชาติการดำเนินโรค พยากรณ์ สาเหตุ การวินิจฉัย การรักษา)
- การอ่านบทความทบทวนทางวิชาการ
- วิธีการของกาวิจัย การเขียนโครงร่าง
- การสร้างคำถามวิจัยและเรียงลำดับ
- ชนิดของการวิจัย : (descriptive, diagnostic, etiologic, intervention, systemic review)
- อคติในการทำวิจัย
- จริยธรรมในการวิจัย
- การบริหารโครงการ
- การตีพิมพ์บทความทางวิทยาศาสตร์ในวารสาร
- การวัดต่าง ๆ (measurement)
- ความเชื่อถือและความสมเหตุผล
- เครื่องมือและการวัดในทางคลินิก, การออกแบบสอบถาม, การเฝ้าสังเกต เทคนิคการสัมภาษณ์
- คอมพิวเตอร์
- การใช้คอมพิวเตอร์ในการสื่อสาร ไมโครซอฟต์ การบริหารเอกสารอ้างอิง นำเสนอเนื้อหาและกราฟฟิค
- เศรษฐศาสตร์เชิงคลินิก
- ภาพรวม และการวิเคราะห์
- วิทยาศาสตร์สุขภาพเชิงสังคม (health social science)
- การตรวจวัดสุขภาพและคุณภาพชีวิต การอภิปรายกลุ่มจำเพาะ การสัมภาษณ์ในรายละเอียด
- ชีวสถิติ (biostatisitcs)
- ภาพรวม
- สถิติสำหรับการประเมินทางคลินิก
- การรวบรวมข้อมูลและนำเสนอ โอกาสและการกระจาย การกำหนดความเสี่ยง
- ประชากรและการเลือกกลุ่มตัวอย่าง, การคำนวณขนาดตัวอย่าง
- การวิเคราะห์แบบต่าง ๆ (analysis of categorial data, survival analysis, nonparametric test, correlation & regression, analysis of variance, meta-analysis)
2. มีความรู้และทักษะสูงในการบริบาลครรภ์เสี่ยงสูง Top of Page
วัตถุประสงค์
1. ผู้ฝึกอบรมสามารถที่จะอภิปรายถึงภาวะแทรกซ้อนทางอายุรศาสตร์ ศัลยศาสตร์ และสูติศาสตร์ในสตรีตั้งครรภ์ที่พบได้บ่อย ในหลายแง่มุม
- ระบาดวิทยา
- สาเหตุ / ปัจจัยส่งเสริม
- พยาธิสรีรวิทยา
- ผลของการตั้งครรภ์ต่อโรค
- ผลของโรคต่อการตั้งครรภ์
- อาการและอาการแสดงทางคลินิก
- การวินิจฉัยและการวินิจฉัยแยกโรค
- การตรวจค้นเพื่อการวินิจฉัย
- การดูแลรักษา
- พยากรณ์โรคและการติดตาม
2. ผู้ฝึกอบรมสามารถให้การวินิจฉัยและดูแลรักษาภาวะแทรกซ้อนทางอายุรศาสตร์ ศัลยศาสตร์ และสูติศาสตร์ที่พบได้บ่อย ๆ ในสตรีตั้งครรภ์
ภาวะแทรกซ้อนทางอายุรศาสตร์
1. ความดันโลหิตสูง
2. เบาหวาน
3. ความผิดปกติทางเอ็นโดครีนอื่น ๆ เช่น โรคต่อมธัยรอยด์ พาราธัยรอยด์ ต่อมใต้สมอง ต่อมหมวกไต
4. ความผิดปกติทางโลหิตวิทยา เช่น โลหิตจาง การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ เกล็ดเลือดต่ำ เป็นต้น
5. โรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น
- โรคหัวใจรูห์มาติค
- หัวใจพิการโดยกำเนิด
- Infective endocarditis
- กล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติ
- หัวใจเต้นผิดจังหวะ
- การปลูกถ่ายเปลี่ยนหัวใจ
6. โรคไต
- การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
- นิ่วในไต
- acute glomerulonephritis
- nephrotic syndrome
- tubular and cortical necrosis
- ไตล้มเหลว
- ไตเทียม
7. โรคระบบทางเดินอาหาร เช่น แพ้ท้องรุนแรง ทางเดินอาหารอุดตัน ตับอ่อนอักเสบ ไส้ติ่งอักเสบ ถุงน้ำดีอักเสบ แผลในกระเพาะและลำไส้ เป็นต้น
8. โรคตับ
- ตับอักเสบ
- Cholestasis
- fatty liver
- ตับแข็ง และอื่น ๆ
9. โรคของปอด
- หืด
- วัณโรค
- การติดเชื้อทางเดินหายใจ
- ARDS
- Pulmonary embolism
- Aspiration pneumonitis
10. โรคทางระบบประสาท
- ลมชัก
- Myasthenia gravis
- Guillain-Barre syndrome
- เนื้องอกในสมอง
- Migraine
- โรคหลอดเลือดในสมอง
11. โรคออโตอิมมูนและเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน
- SLE
- Rheumatoid arthritis
- Antiphospholipid antibodies
12. โรคมะเร็ง
- มะเร็งระบบสืบพันธุ์ (มะเร็งปากมดลูก มะเร็งรังไข่ มะเร็งเนื้อรก)
- มะเร็งเม็ดเลือดขาว
- มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
- มะเร็งเต้านม เป็นต้น
13. โรคผิวหนัง
- Herpes gestationis
- impetigo herpetiformis
- PUPPP
14. การใช้สารเสพย์ติด : แอลกอฮอล์ กาแฟ บุหรี่ ยาบ้า โคเคน เฮโรอีน บาร์บิทุเรท ยากล่อมประสาท เป็นต้น
15. โรคทางจิตเวชศาสตร์ เช่น ภาวะซึมเศร้า หรือโรคจิตหลังคลอด
16. โรคติดเชื้อ
- การติดเชื้อแบคทีเรีย : Group A, B Streptococcus, Salmonella Mycoplasma, Listeriosis, Shigella, Haemophilus, Anaerobic bacteria เป็นต้น
- การติดเชื้อไวรัส : Rubella, Parvovirus, Varicella-Zoster, Coxsackie, Cytomegalovirus, Hepatitis เป็นต้น
- การติดเชื้อปรสิต เช่น มาเลเรีย Toxoplasmosis
- การติดเชื้อรา เช่น Pneumocystis crinii, Cryptococcosis, Candidiasis,Coccidiomycosis เป็นต้น
- โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น เอชไอวี ซิฟิลิส หนองใน คลามิเดีย แผลริมอ่อน เริม ทริโคโมแนส เป็นต้น
ภาวะแทรกซ้อนทางศัลยศาสตร์
1. การดูแลในภาวะวิกฤติและการบาดเจ็บ
- การช่วยฟื้นคืนชีพ (CPR)
- การให้เลือดและองค์ประกอบเลือด
- การช่วยเหลือทางเดินหายใจ
- บาดเจ็บต่าง ๆ (อุบัติเหตุรถยนต์ การกระแทก ถูกแทง เผาไหม้)
2. ภาวะ acute abdomen
- ไส้ติ่งอักเสบเฉียบพลัน
- ปีกมดลูกบิดขั้ว
- ถุงน้ำรังไข่แตก
- นิ่วในถุงน้ำดี ถุงน้ำดีอักเสบ
- ลำไส้อุดตัน
3. ตกเลือด – เลือดออกในทางเดินอาหารส่วนบน / ส่วนล่าง
ภาวะแทรกซ้อนทางสูติศาสตร์
1. คลอดยาก (แรงเบ่งไม่ดี ทารกท่าผิดปกติ เชิงกรานแคบ)
2. ตกเลือด (แท้ง ครรภ์นอกมดลูก ครรภ์ไข่ปลาอุก รกเกาะต่ำ รกลอกตัวก่อนกำหนด มดลูกแตก มดลูกไม่แข็งตัว รกค้าง รกติด มดลูกปลิ้น ช่องทางคลอดฉีกขาด)
3. ความดันโลหิตสูง:
- Pregnancy induced hypertension
- Pregnancy aggravated hypertension
- Transient hypertension
4. การคลอดก่อนกำหนด / น้ำเดินก่อนกำหนด
5. ครรภ์เกินกำหนด
6. ทารกโตช้าในครรภ์
7. ครรภ์แฝด
8. การสูญเสียทารกซ้ำ ๆ (recurrent pregnancy losses)
9. ทารกพิการโดยกำเนิด
10. โรคของรก สายสะดือ และเยื่อหุ้มเด็ก
- เยื่อหุ้มเด็กอักเสบ
- ครรภ์แฝดน้ำ
- น้ำคร่ำน้อย
- รกน้อย รกบาง circummarginate เป็นต้น
- เนื้อรกตาย
- ความผิดปกติของสายสะดือ : ปม บิด ตีบ ถุงน้ำ ก้อนเลือดคั่ง บวม เนื้องอก เส้นเลือดแดงสายสะดือเส้นเดียว เกาะผิดที่ (เช่น ที่ขอบรก เยื่อหุ้มเด็ก) vasa previa
3. มีความรู้และทักษะสูงในการประเมินสุขภาพทารกในครรภ์
วัตถุประสงค์
ผู้ฝึกอบรมมีความรู้ความเข้าใจในหลักการ ข้อดี ข้อเสีย และสามารถแปลผลการทดสอบสุขภาพทารกในครรภ์ด้วยเทคนิคต่าง ๆ ทั้งในระยะก่อนคลอดและ
ระยะคลอด
1. เทคนิคต่าง ๆ ในการประเมินสุขภาพทารกในครรภ์ในระยะก่อนคลอด
- การนับเด็กดิ้น
- Nonstress test / Acoustic stimulation test
- Contraction stress test
- Biophysical profile
- Modified biophysical profile
- Doppler velocimetry
2. เทคนิคการประเมินสุขภาพทารกในครรภ์ในระยะคลอด
- Fetal heart rate monitoring (external/internal)
- Acoustic stimulation test
- Scalp blood pH
4. มีความรู้และทักษะสูงในการคัดกรองและวินิจฉัยก่อนคลอด Top of Page
วัตถุประสงค์
ผู้ฝึกอบรมมีความรู้ก้าวหน้าเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์พื้นฐานของการวินิจฉัยก่อนคลอด สามารถคัดกรอง/วินิจฉัยโรคในทารกที่สำคัญได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่
1. ความผิดปกติของโครโมโซมที่พบได้บ่อย
2. โรคธาลัสซีเมียชนิดร้ายแรง
3. ความผิดปกติทางโครงสร้าง
4. กลุ่มโรคจำเพาะที่ประวัติมีความเสี่ยง เช่น ฮีโมฟิลเลีย เปลือกต่อมหมวกไตหนา เป็นต้น
1. วิทยาศาสตร์พื้นฐานของการวินิจฉัยก่อนคลอด
- ผู้ฝึกอบรมมีความรู้เกี่ยวกับ
- พันธุศาสตร์
- พัฒนาการ และ สรีรวิทยาของทารกในครรภ์
- ความรู้เกี่ยวกับโรคของทารก
- ผู้ฝึกอบรมสามารถอธิบายและแปลผลความผิดปกติเกี่ยวกับ
- วิธีการถ่ายทอดทางพันธุกรรม
- เทคนิคทางห้องปฏิบัติการเกี่ยวกับการตรวจโครโมโซม
- การวิเคราะห์ดีเอ็นเอ
- ความรู้เกี่ยวกับพัฒนาการของทารกในครรภ์
- ความรู้เกี่ยวกับสรีรวิทยาของทารกในครรภ์
- โรคความผิดปกติทางโครโมโซม โดยเฉพาะ trisomy 21, 18, 13 triploidy, XO เป็นต้น
- โรคทางพันธุกรรม: โดยเฉพาะอย่างยิ่งธาลัสซีเมียชนิดร้ายแรง ฮีโมฟิลเลีย เป็นต้น
- ภาวะความพิการโดยกำเนิดของระบบต่าง ๆ (ส่วนอัลตราซาวน์)
2. การคัดกรองค้นหาครรภ์ที่มีความเสี่ยง
- ผู้ฝึกอบรมมีความรู้เกี่ยวกับการคัดกรองค้นหาการตั้งครรภ์ที่มีความเสี่ยงต่อโรคสำคัญ
- ผู้ฝึกอบรมมีความสามารถในการคัดกรอง
- คัดกรองความเสี่ยงต่อกลุ่มอาการดาวน์ โดย ประวัติและอายุ, MSAFP และ triple screen ประวัติในครอบครัว
- อายุมารดา
- MSAFP/Triple screen
- มาร์กเกอร์ทางคลื่นเสียงความถี่สูง
- คัดกรองความเสี่ยงต่อธาลัสซีเมียชนิดร้ายแรง (รวมทั้งแปลผลทางห้องปฏิบัติการ) Retrospective screening
- Prospective screening
- EOFT, MCV
- DCIP, HbE screen
- HbA2, PCR
- การคัดกรองความผิดปกติทางโครงสร้าง
- คลื่นเสียงความถี่สูงในรายมีความเสี่ยง
- คลื่นเสียงความถี่สูงเป็นกิจวัตรขณะกึ่งการตั้งครรภ์
- คัดกรองความพิการทางโครงสร้างด้วยอัลตราซาวน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- คัดกรองโรคจำเพาะอื่น ๆ โดยอาศัยประวัติความเสี่ยง เช่น ฮีโมฟิลเลีย ต่อมหมวกไตหนาตัว Rh isoimmunization เป็นต้น
- คัดกรองความเสี่ยงต่อกลุ่มอาการดาวน์ โดย ประวัติและอายุ, MSAFP และ triple screen ประวัติในครอบครัว
3. การให้คำปรึกษาการวินิจฉัยก่อนคลอด (Genetic Counseling)
- ผู้ฝึกอบรมสามารถเข้าใจอย่างดีในหลักการ ความสำคัญ และวิธีการของการให้คำปรึกษาก่อนคลอด
- ผู้ฝึกอบรมสามารถให้คำปรึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพในเรื่องของ
- ข้อบ่งชี้ (รายที่มีความเสี่ยงต่อการมีทารกที่เป็นโรค)
- รายละเอียดของโรคที่พบบ่อย ได้แก่ ความผิดปกติทางโครโมโซม ธาลัสซีเมีย เป็นต้น
- แนวทางในการค้นหารายละเอียดของโรคทางพันธุกรรมที่พบไม่บ่อย
- ขั้นตอนในการให้คำปรึกษา
- การซักประวัติและการตรวจร่างกายอย่างละเอียด
- การตรวจพิเศษทางห้องปฏิบัติการ
- การบันทึกประวัติครอบครัวเป็นพงศาวลี
- การประเมินแบบแผนการถ่ายทอด (AD, AR, X-linked, multifactorial)
- ความผิดปกติทางโครโมโซม
- การประเมินความเสี่ยงต่อการมีลูกที่เป็นโรค
- การบอกแนวทางในการหลีกเลี่ยงการมีลูกที่เป็นโรค
- ให้ความรู้เกี่ยวกับโรค
- เทคนิคในการให้ข้อมูล
4. หลักการและเทคนิคในการวินิจฉัยก่อนคลอด
ผู้ฝึกอบรมมีความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการ วิธีการ ข้อบ่งชี้ ข้อดีข้อเสีย ภาวะแทรกซ้อน ของเทคนิคในการวินิจฉัยก่อนคลอดต่าง ๆ
ผู้ฝึกอบรมสามารถอภิปราย หรือมีทักษะในการทำการวินิจฉัยก่อนคลอดดังนี้
1. Non-invasive technique
1.1 การวินิจฉัยก่อนคลอดด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (วินิจฉัยความผิดปกติทางโครงสร้าง)
- สามารถคัดกรองความพิการโดยกำเนิดทางโครงสร้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- สามารถตรวจวินิจฉัยความผิดปกติโดยกำเนิด (ระดับละเอียด)
- สามารถตรวจค้นหามาร์กเกอร์ของความผิดปกติทางโครโมโซมได้ ทั้งในไตรมาสแรกและ
ไตรมาสที่สอง
1.2 การตรวจสารในเลือดมารดา
- มีความรู้และแปลผลการคัดกรองเกี่ยวกับมาร์กเกอร์ต่าง ๆ ในเลือดมารดา เช่น Rh titer, Rubella titer ตลอดจนสารเคมีต่าง ๆ เช่น alpha-fetoprotein, hCG เป็นต้น
- การคัดกรองด้วย NTDs และกลุ่มอาการดาวน์ด้วย triple test
- เข้าใจในการแปลผลกำหนดความเสี่ยงของทารกจากข้อมูลเช่น อายุ triple test
- คัดกรองพาหะโรคทางพันธุกรรมจากเลือดคู่สมรส โดยเฉพาะพาหะต่อธาลัสซีเมียชนิดร้ายแรง
1.3 การวินิจฉัยทารกจากเซลล์ลูกในเลือดมารดา
การตรวจหาเซลล์ของลูกในเลือดแม่เพื่อการวินิจฉัยก่อนคลอด เข้าใจถึงวิธีการแยกเซลล์ลูกจากเลือดแม่ และหลักการทางห้องปฏิบัติการในการวิเคราะห์ดีเอ็นเอได้แก่
- PCR
- DNA sequencing
- Southern blot เป็นต้น
- ตรวจโครโมโซมลูก
1.4 การล้างบริเวณปากมดลูก (transcervical flushing)
เข้าใจ อธิบายถึงหลักการ
1.5 การวินิจฉัยก่อนการฝังตัว (Preimplantation)
เข้าใจ อธิบายถึงหลักการและให้คำปรึกษาแก่คู่สมรสที่มีปัญหาโรคทางพันธุกรรม ที่มีความเสี่ยงสูง หรือรายที่มีบุตรยาก ที่ต้องอาศัยเทคโนโลยีช่วยภาวะเจริญพันธุ์อยู่แล้ว
2. Invasive technique
2.1 การเจาะดูดน้ำคร่ำ (amniocentesis)
มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ
- หลักการ หรือเทคนิค
- ข้อบ่งชี้
- ความเสี่ยง และภาวะแทรกซ้อน
- การแปลผลและความเชื่อมั่น
- หลักการทางห้องปฏิบัติการ
- ขีดจำกัดในการแปลผล และปัญหาที่พบได้บ่อย
- Early amniocentesis และ amnifiltration
- การทำในกรณีครรภ์แฝด
- หลักการทางห้องปฏิบัติการเกี่ยวกับการตรวจโครโมโซม (cytogenetics)
- หลักการทางห้องปฏิบัติการเกี่ยวกับการวิเคราะห์ดีเอ็นเอจากเซลล์น้ำคร่ำ
- สามารถให้คำปรึกษาแก่คู่สมรสได้อย่างถูกต้อง
- สามารถปฏิบัติได้อย่างถูกต้องหลักการ
2.2 การตัดชิ้นเนื้อรก (chorionic villus sampling)
มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ
- หลักการ หรือเทคนิค
- ข้อบ่งชี้
- ความเสี่ยง และภาวะแทรกซ้อน
- การแปลผลและความเชื่อมั่น
- หลักการทางห้องปฏิบัติการ
- ขีดจำกัดในการแปลผล และปัญหาที่พบได้บ่อย
- ประเภทของการทำ (transabdominal / transcervical sampling)
- หลักการทางห้องปฏิบัติการเกี่ยวกับการตรวจโครโมโซม (cytogenetics)
- หลักการทางห้องปฏิบัติการเกี่ยวกับการวิเคราะห์ดีเอ็นเอจากเซลล์วิลไล
- สามารถให้คำปรึกษาแก่คู่สมรสได้อย่างถูกต้อง
- สามารถปฏิบัติได้อย่างถูกต้องหลักการ และแยกเนื้อรกจากเนื้อเยื่อของมารดาได้
2.3 การเจาะเลือดจากสายสะดือทารก (cordocentesis)
มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ
- หลักการ หรือเทคนิค
- ข้อบ่งชี้
- ความเสี่ยง และภาวะแทรกซ้อน
- การแปลผลและความเชื่อมั่น
- หลักการทางห้องปฏิบัติการ
- ขีดจำกัดในการแปลผล และปัญหาที่พบได้บ่อย
- หลักการทางห้องปฏิบัติการเกี่ยวกับการตรวจโครโมโซม และการวิเคราะห์โรคบางอย่างที่พบบ่อย เช่น ธาลัสซีเมีย
- สามารถให้คำปรึกษาแก่คู่สมรสได้อย่างถูกต้อง
- สามารถปฏิบัติได้อย่างถูกต้องหลักการ โดยผ่านการฝึกอบรมอย่างเป็นขั้นตอน
2.4 เทคนิค Coelocentesis
มีความรู้ความเข้าใจในเทคนิคและหลักการทางอณูพันธุศาสตร์ เช่น FISH, PCR
2.5 การตรวจด้วยกล้องส่องทารกและการตัดชิ้นเนื้อทารก (fetoscopy and tissue biopsy)
มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ
- หลักการ หรือเทคนิค
- ข้อบ่งชี้
- ความเสี่ยง และภาวะแทรกซ้อน
- การแปลผลและความเชื่อมั่น
- ขีดจำกัดในการแปลผล และปัญหาที่พบได้บ่อย
2.6 การส่องตรวจตัวอ่อนในครรภ์ (embryoscopy)
มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ
- หลักการ หรือเทคนิค
- ข้อบ่งชี้
- ความเสี่ยง และภาวะแทรกซ้อน
- การแปลผลและความเชื่อมั่น
- หลักการทางห้องปฏิบัติการ
- ขีดจำกัดในการแปลผล และปัญหาที่พบได้บ่อ
4. ความรู้ทางห้องปฏิบัติการของการวินิจฉัยก่อนคลอด
- ผู้ฝึกอบรมมีความรู้เป็นอย่างดีเกี่ยวกับการตรวจทางห้องปฏิบัติการที่สำคัญของการวินิจฉัยก่อนคลอด
ผู้ฝึกอบรมสามารถอธิบายและแปลผลได้อย่างถูกต้องเกี่ยวกับ - การคัดกรองต่าง ๆ เช่น triple screen
- MCV, DCIP, EOFT, HbE screen, Hb typing
- HPLC
- การเพาะเซลล์เพื่อวิเคราะห์โครโมโซม
- การเลี้ยงเซลล์/ประสบการณ์การทำ PCR
- การวิเคราะห์ดีเอ็นเอ
5. พยาธิวิทยาของทารก
ผู้ฝึกอบรมมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพยาธิวิทยาของโรคต่าง ๆ ของทารกที่ทำการวินิจฉัยก่อนคลอด
ผู้ฝึกอบรมมีประสบการณ์ในการวินิจฉัยโรคทารกทางพยาธิวิทยา สามารถบรรยายความผิดปกติต่าง ๆ ของโรคที่พบได้บ่อย ๆ อย่างถูกต้อง
5. มีความรู้และทักษะสูงในการตรวจคลื่นเสียงความถี่สูงทางสูติศาสตร์
วัตถุประสงค์
ผู้ฝึกอบรมมีความรู้ก้าวหน้า และทักษะสูงในการตรวจคลื่นเสียงความถี่สูงทางสูติศาสตร์ ได้แก่
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับคลื่นเสียงความถี่สูง
- ฟิสิกซ์
- ข้อบ่งชี้และขีดจำกัดในการประยุกต์ใช้
- ความปลอดภัย
- ความรู้ก้าวหน้าในเทคโนโลยีการสร้างภาพ
- คลื่นเสียงความถี่สูงชนิดสามมิติ สี่มิติ และ MRI
การตรวจพื้นฐานทางสูติศาสตร์ (Basic Examination)
- วินิจฉัยการตั้งครรภ์ ครรภ์เดี่ยว ครรภ์แฝด
- รก สายสะดือ และน้ำคร่ำ
- ตำแหน่งของรก รวมถึงการวินิจฉัยรกเกาะต่ำ
- รกลอกตัวก่อนกำหนด
- รูปร่างของรก (รูปร่างผิดปกติ เช่น circumvallate หรือการมีรกน้อย)
- จำนวนเส้นเลือดในสายสะดือ
- ก้อน/ถุงน้ำที่รกและสายสะดือ
- ปริมาณน้ำคร่ำ น้ำคร่ำน้อย และครรภ์แฝดน้ำ
- วัดสัดส่วนต่าง ๆ ของทารก
- ประเมินอายุครรภ์
- ประเมินการเจริญเติบโต
- ตรวจกายวิภาคทารกปกติได้อย่างครบถ้วน (ขณะ 20 สัปดาห์)
- รูปร่างศีรษะ
- หน้า (ตา จมูก ริมฝีปาก เพดาน คาง)
- สมอง (คอร์เทกซ์ ventricles สมองน้อย)
- กระดูกสันหลัง (ทั้งสามระนาบ)
- หัวใจ (4-chamber, aortic root, pulmonary trunk, ductus arterious, อัตราการเต้นและจังหวะ)
- ท้อง (กระบังลม กระเพาะอาหาร ตับ เส้นเลือดดำสายสะดือ เส้นเลือดดำพอร์ตัล ถุงน้ำดี ไต
กระเพาะปัสสาวะ ผนังหน้าท้อง และสะดือ) - เพศ
- แขนขา (รูปร่าง ส่วนประกอบ และการเคลื่อนไหว)
การตรวจขั้นละเอียด (Targeted Ultrasound)
1. ระบบประสาทส่วนกลาง
1.1 ความผิดปกติของท่อประสาท
- Acrania
- Anencephaly
- Cephaloceles
- Spina bifida และ meningoceles
1.2 หัวบาตร (Ventriculomegaly/hydrocephalus)
1.3 Holoprosencephaly
1.4 Dandy-Walker Malformations
1.5 พยาธิสภาพการทำลายเนื้อสมอง
- Hydranenecephaly
- Porencephaly/Schizencephaly
1.6 Microcephaly/Macrocephaly
1.7 Agenesis of corpus callosum
1.8 อื่น ๆ เช่น หินปูนจับในสมอง กระดูกสันหลังคดและโก่ง เป็นต้น
2. ใบหน้าและคอ
2.1 ความผิดปกติของใบหน้า
- ปากแหว่ง/เพดานโหว่
- เบ้าตาถี่/ห่าง
- ความผิดปกติของจมูก งวง (proboscis)
- คางเล็ก
- ก้อนที่หน้า เช่น cephalocele ส่วนหน้า
2.2 ก้อนที่คอ
- Nuchal edema/translucency
- Cystic hygroma
- Cervical teratoma
- ก้อนของธัยรอยด์/คอพอก
3. หัวใจ
3.1 ความผิดปกติในโครงสร้างของหัวใจ
- Endocardial cushion (Atrioventricular) defect
- Ventricular septal defect
- Ebstein’s anomaly
- Hypoplastic heart
- Univentricular heart
3.2 ความผิดปกติในจังหวะการเต้นของหัวใจ (arrhythmia)
- Premature atrial และ ventricular contractions
- Tachycardia
- Bradycardia
4. ท่อทางเดินปัสสาวะและท่อสืบพันธุ์
4.1 ไตฝ่อ (renal agenesis)
4.2 การอุดตันของทางเดินปัสสาวะ
- กรวยไตโต/ท่อไตโต
- Bladder outlet obstruction
4.3 ถุงน้ำที่ไต
- Multicystic dysplastic kidneys
- Infantile polycystic kidneys
- Autosomal dominant polycystic kidneys
- Obstructive renal dysplasia
4.4 ก้อนที่ต่อมหมวกไต
4.5 ความผิดปกติของท่อสืบพันธุ์ เช่น ถุงน้ำรังไข่
5. ท้องและทางเดินอาหาร
5.1 ทางเดินอาหารอุดตัน
- หลอดอาหารตีบตัน
- ดูโอดีนั่มตีบตัน
- ลำไส้ใหญ่ตีบตัน
- Meconium ileus และ peritonitis
5.2 ผนังหน้าท้องโหว่
- Gastroschisis
- Omphalocele
- Pentalogy of Cantrell
- Limb-body-wall complex
- Bladder/cloacal extrosphy
5.3 น้ำและก้อนในช่องท้อง
6. ทรวงอก
6.1 ปอดแฟบ (pulmonary hypoplasia)
6.2 ก้อนในทรวงอก
- ไส้เลื่อนกระบังลม
- Congenital cystic adenomatoid malformations
- Bronchial sequestration
- ก้อนใน mediastinum (teratoma)
6.3 น้ำในทรวงอก (pleural effusion)
7. ระบบกระดูกโครงร่าง
7.1 กลุ่มแขนขาสั้นที่ไม่รอดชีวิต (lethal)
- Thanatophoric dysplasia
- Achondrogenesis
- Osteogenesis imperfecta II
- Hypophosphatasia
- Short-rib polydactyly syndrome เป็นต้น
7.2 กลุ่มแขนขาสั้นที่รอดชีวิต (non-lethal)
- Achondroplasia
- Osteogenesis imperfecta type I, III, IV เป็นต้น
7.3 แขนขาขาดหาย (limb reduction defects)
7.4 ความผิดปกติของมือและเท้า
- นิ้วทับเกยกัน
- มือเท้าปุก
- นิ้วโก่งเข้า (clinodactyly)
- นิ้วเกิน/นิ้วขาด
- ส้นเท้านูน (Rocker-bottom)
7.5 Caudal regression
7.6 Sacrococcygeal teratoma
8. ครรภ์แฝด
8.1 Twin-twin transfusion syndrome, Stuck twins
8.2 แฝดไม่มีหัวใจ (acardiac twins)
8.3 แฝดติดกัน (conjoined twins)
9. ทารกบวมน้ำจากสาเหตุต่าง ๆ
10. มาร์คเกอร์ของความผิดปกติทางโครโมโซม (Sonomarker)
10.1 Soft sign
- choroid plexus cyst
- mild ventriculomegaly
- mild hydronephrosis
- nuchal translucency / thickening
- hyperechoic bowels
- intracardiac echogenic foci
- กระดูกต้นขา/แขนสั้น
- ความผิดปกติของมือเท้า (ส้นนูน นิ้วเกิน เท้าปุก นิ้วทับกัน เป็นต้น)
10.2 ความผิดปกติรุนแรง (ดูโอดีนั่มตีบตัน endocardial cushion defect เป็นต้น)
6. มีความรู้และทักษะในการรักษาทารกในครรภ์ Top of Page
วัตถุประสงค์
ผู้ฝึกอบรมมีความรู้และสามารถอภิปรายถึงแนวทางในการรักษาทารกในครรภ์ รวมทั้งเทคนิคต่าง ๆ ที่กำลังพัฒนาหรือแนวโน้มในอนาคต และมีทักษะในการรักษาทารกในครรภ์ที่กระทำกันบ่อย ๆ
การรักษาที่ควรปฏิบัติได้
- การเจาะดูดน้ำคร่ำ (amniocentesis) : เช่น บางรายของภาวะครรภ์แฝดน้ำ หรือ twin-twin transfusion syndrome
- เติมน้ำคร่ำ (amnioinfusion) : เช่น รายที่มีน้ำคร่ำน้อยมากจากการอุดตันทางเดินปัสสาวะ หรือแก้ปัญหาการกดสายสะดือระยะคลอด เป็นต้น
- Intrauterine resussitation
- การดูดน้ำจากร่างกายหรือถุงน้ำในทารก เช่น ดูดน้ำจากทรวงอกในบางรายของ chylothorax หรือ ถุงน้ำรังไข่ที่มีขนาดใหญ่มาก
- การให้ยาแก่ทารกโดยอ้อม
- ให้สเตียรอยด์เพื่อเร่งการเจริญของปอดทารก
- ให้ indomethacin เพื่อรักษาภาวะครรภ์แฝดน้ำที่ไม่ทราบสาเหตุ
- dexamethasone แก่มารดา เพื่อรักษา congenital adrenal hyperplasia
- ให้กรดโฟลิคป้องกันภาวะท่อประสาทไม่ปิด
- Selective fetocide / Fetal reduction
- ฉีดโปตัสเซียมคลอไรด์เพื่อทำลายแฝดผิดปกติ เพื่อลดความเสี่ยงของแฝดปกติ หรือลดจำนวนแฝดหลายตัว
การรักษาที่ควรรู้หรือคุ้นเคย
1. การให้สารบางอย่างแก่ทารกโดยตรง
- การให้เลือดแก่ทารก (intraperitoneal / intravascular) เช่น รายเริ่มบวมน้ำจาก Rh isoimmunization
- การให้อัลบิวมินแก่ทารก เช่น ในรายบวมน้ำโดยไม่ทราบสาเหตุ
- การให้เกล็ดเลือด เช่น ในราย autoimmune thrombocytopenia
- การให้ยาแก่ทารกโดยตรง
- digoxin ในรายหัวใจล้มเหลวที่ไม่ทราบสาเหตุ
- anti-arrhythmic ในรายหัวใจเต้นผิดจังหวะ
2. การใส่ท่อระบาย (shunt) ในทารกก่อนคลอด เช่น บางรายของภาวะ
- น้ำในช่องปอด
- ทางเดินปัสสาวะอุดตัน
3. การผ่าตัดทารกในครรภ์แบบเปิด
- ไส้เลื่อนกระบังลม
- sacrococcygeal teratoma
- posterior urethral valve obstruction
4. การรักษา twin-twin transfusion syndrome
- การใช้เลเซอร์ทำลายเส้นเลือดที่เชื่อมกัน
- ฉีดไฟบรินเข้าไปในสายสะดือทารกที่เป็น acardiac twin
- รัดสายสะดือทารก acardiac twin โดยผ่านกล้อง
5. การใส่ pacemaker ให้กับทารกที่มี complete heart block
6. การรักษาที่เป็นไปได้สูงในอนาคต
- การปลูกถ่ายเซลล์ทารกในครรภ์ (stem cell transplantation)
- การรักษาโดยการเปลี่ยนยีน (gene replacement therapy)
- การผ่าตัดทารกในครรภ์โดยผ่านกล้องเล็ก ๆ
- ฯลฯ