การผ่าตัดนำรังไข่ และท่อนำไข่ออกเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งรังไข่
Risk reduction bilateral salpingo-oophorectomy in high risk ovarian cancer
การผ่าตัดนำรังไข่ และท่อนำไข่ออกเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งรังไข่
นพ. สันติภาพ ศรีสมบูรณ์
อาจารย์ที่ปรึกษา อ.นพ. เศรษฐวัฒก์ เศรษฐเสถียร
มะเร็งรังไข่เป็นมะเร็งของอวัยวะสืบพันธุ์สตรีที่พบได้บ่อยเป็นอันดับสอง รองจากมะเร็งปากมดลูกในประเทศไทย[1] และมีอุบัติการณ์พบได้บ่อยเป็นอันดับสามรองจากมะเร็งปากมดลูก และมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก ในการเกิดมะเร็งของอวัยวะสืบพันธุ์สตรีทั่วโลก[2] ผู้ป่วยโรคมะเร็งรังไข่มักจะมาพบแพทย์ในขณะที่มะเร็งลุกลามไปมากแล้ว เนื่องจากอาการของผู้ป่วยโรคมะเร็งในระยะต้น ๆ นั้นไม่ได้ชี้เฉพาะต่อตัวโรค และการตรวจคัดกรองยังไม่มีประสิทธิภาพที่ดีมากนัก ส่งผลให้ผู้ป่วยมักจะมารับการรักษาในระยะท้าย ๆ และทำให้มีอัตราการเสียชีวิตสูง ปัจจัยที่ทำให้เกิดมะเร็งรังไข่ และลดความเสี่ยงต่อมะเร็งรังไข่ดังแสดงในตารางที่ 1
{tabulizer:style[gr.alterora.elemental_1_blue.css]}
ปัจจัย |
Relative risk |
โอกาสที่เกิดมะเร็งตลอดชีวิต (%) |
ประชากรทั่วไป |
1.0 |
1.4 |
การกลายพันธุ์ของยีน BRCA1 |
|
35-46 |
การกลายพันธุ์ของยีน BRCA2 |
|
13-23 |
Lynch syndrome (Hereditary nonpolyposis colon cancer) |
|
3-14 |
ประวัติมะเร็งรังไข่ในครอบครัวโดยไม่มีการกลายพันธุ์ของยีนในครอบครัว |
ไม่แน่นอน |
|
ภาวะมีบุตรยาก |
2.67 |
|
ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ |
2.52 |
|
เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ |
2.04-3.05 |
|
สูบบุหรี่ |
2.1 |
|
ใส่ห่วงอนามัย |
1.76 |
|
ประวัติเคยใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด |
0.73 |
|
ประวัติเคยเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ มากกว่า 12 เดือน |
0.72 |
|
ผ่าตัดทำหมัน |
0.69 |
|
ประวัติเคยตั้งครรภ์มาก่อน |
0.6 |
|
ตารางที่ 1 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเกิดมะเร็งรังไข่ (แหล่งอ้างอิง:ปรับข้อมูลจาก uptodate.com[7])
มะเร็งเต้านมเป็นอีกหนึ่งโรคที่สำคัญสำหรับสตรี โดยมีอุบัติการณ์พบได้บ่อยเป็นอันดับหนึ่งของโรคมะเร็งสตรีทั้งในประเทศไทย และทั่วโลก [1, 2] โดยโรคมะเร็งเต้านมและรังไข่ มีความสัมพันธ์กัน และสามารถพบร่วมกันใน กลุ่มโรคมะเร็งเต้านมและรังไข่ที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม (hereditary breast and ovarian cancer syndrome: HBOC)
กลุ่มโรคมะเร็งเต้านมและรังไข่ที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม (HBOC) ส่วนใหญ่คือกลุ่มโรคที่เกิดจากการกลายพันธุ์หรือหายไปของยีน BRCA1 และ BRCA2 (แบบ germline mutation หรือการกลายพันธุ์ทั้งหมดในเนื้อเยื่อร่างกาย) ซึ่งเป็นสาเหตุของมะเร็งรังไข่ประมาณร้อยละ 10 และร้อยละ 3-5 ของมะเร็งเต้านม การกลายพันธุ์ของยีน BRCA จะมีการถ่ายทอดผ่านรูปแบบยีนเด่น (autosomal dominant) ซึ่งมีโอกาสถ่ายทอดไปสู่รุ่นลูกหลาน ได้หลาย ๆ รุ่น จากการศึกษาหลาย ๆ การศึกษาพบว่า สตรีที่มีการกลายพันธุ์ของยีน BRCA1 จะมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งรังไข่ตลอดชีวิตร้อยละ 35-46 สตรีที่มีการกลายพันธุ์ของยีน BRCA2 จะมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งรังไข่ตลอดชีวิตร้อยละ 13-23 เมื่อเทียบกับประชากรทั่วไปจะมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งรังไข่ร้อยละ 1.5 การกลายพันธุ์ของยีน BRCA1 และ BRCA2 เพิ่มความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดมะเร็งเต้านมที่มากขึ้นถึงประมาณร้อยละ 70 [6] นอกจากนี้ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งอื่น ๆ ดังแสดงในตารางที่ 2
{tabulizer:style[gr.alterora.elemental_1_blue.css]}
ชนิดมะเร็ง |
ความเสี่ยงของผู้ที่มีการกลายพันธุ์ของยีน BRCA ในอายุ 70 ปี |
ความเสี่ยงของประชากรทั่วไปในอายุ 70 ปี |
หมายเหตุ |
มะเร็งเต้านม |
40-75 % |
7 % |
BRCA1 > BRCA2 |
มะเร็งเต้านมอีกข้าง |
BRCA1: ได้ถึง 65 % BRCA2: ได้ถึง 50 % |
0.5-1 % ต่อปีหลังวินิจฉัย |
ความเสี่ยงแปรผันเนื่องจากการได้รับยา tamoxifen และการผ่าตัดนำรังไข่ออก |
มะเร็งรังไข่ |
BRCA1: ประมาณ 40 % BRCA2: ประมาณ 15 % |
น้อยกว่า 1 % |
ความเสี่ยงของมะเร็งท่อนำไข่เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน |
มะเร็งลำไส้ |
ไม่ชัดเจน |
2 % |
|
มะเร็งต่อมลูกหมาก |
เสี่ยงเพิ่มขึ้น ค่ายังไม่ชัดเจน |
8 % ในคนขาว, 12 % ใน African Americans |
BRCA2 > BRCA1, พบได้ในชายอายุน้อยกว่า 65 ปี |
มะเร็งเต้านมชาย |
เพิ่มขึ้นแต่น้อยกว่า 10 % |
น้อยกว่า 1 % |
BRCA2 > BRCA1, พบน้อยในชายอายุน้อยกว่า 50 ปี |
มะเร็งตับอ่อน |
เพิ่มขึ้นแต่น้อยกว่า 10 % |
น้อยกว่า 1 % |
BRCA2 > BRCA1 |
มะเร็งอื่น ๆ |
ยังไม่แน่นอน |
– |
อาจสัมพันธ์กับมะเร็งอื่น ๆ เช่นมะเร็งกระเพาะอาหาร และ melanoma |
ตารางที่ 2 ความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งในผู้ที่มีการกลายพันธุ์ของยีน BRCA (แหล่งอ้างอิง:ปรับข้อมูลจาก uptodate.com[7])
เนื่องจากมะเร็งรังไข่เป็นมะเร็งที่ไม่มีอาการจำเพาะ ทำการตรวจคัดกรองได้ยาก จึงมีคำแนะนำให้ทำการผ่าตัดนำรังไข่และท่อนำไข่ออกเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งรังไข่ (risk reduction bilateral salpingo-oophorectomy: RRBSO) และนอกจากนี้ยังมีการศึกษาพบว่า การผ่าตัด RRBSO สามารถลดการเกิดมะเร็งเต้านมได้อีกด้วยหากทำการผ่าตัด RRBSO ก่อนหมดประจำเดือน โดยอาจลดการเกิดมะเร็งเต้านมได้ถึงมากกว่าร้อยละ 50 (30-75)
มีการศึกษาพบว่า relative risk ของการเกิดมะเร็งรังไข่, ท่อนำไข่, และเยื่อบุช่องท้อง หลังผ่าตัด RRBSO = 0.04 (95%CI = 0.01-0.16) [13] และอีกการศึกษาพบว่า relative risk ของการเกิดมะเร็งเต้านม, รังไข่, ท่อนำไข่, และเยื่อบุช่องท้อง หลังผ่าตัด RRBSO = 0.25 (95%CI = 0.08-0.74) [14]
นอกจากการกลายพันธุ์ของยีน BRCA1 และ BRCA 2 แล้ว HBOC ยังรวมถึงการถ่ายทอดทางพันธุกรรมในกลุ่ม Lynch syndrome, Li-Fraumeni syndrome, Cowden/PTEN hamartoma syndrome, Hereditary diffuse gastric cancer, Peutz-Jeghers syndrome และยังรวมถึงการกลายพันธุ์ของยีนอื่น ๆ ที่ปัจจุบันยังอยู่ในการศึกษา เช่นยีน CHEK2, PALB2, ATM, BARD1, BRIP1, MRN, RAD51paralog, และ MUTYH
ปัจจุบัน การกลายพันธุ์ของยีน BRCA1, BRCA 2 และกลุ่ม lynch syndrome จัดเป็น กลุ่มโรคมะเร็งเต้านมและรังไข่ที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมชนิดความเสี่ยงสูง (high-risk HBOC) ส่วนกลุ่มโรคอื่น ๆ และการกลายพันธุ์ของยีนอื่น ๆ จะจัดเป็นกลุ่มโรคมะเร็งเต้านมและรังไข่ที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมชนิดความเสี่ยงต่ำ-ปานกลาง (low to moderate-risk HBOC) ซึ่งการตรวจวินิจฉัยการกลายพันธุ์ของยีนในประชากรทุกรายนั้นยังไม่คุ้มค่า ปัจจุบันมีคำแนะนำของเครือข่ายมะเร็งครบวงจรแห่งชาติ (National comprehensive cancer network: NCCN) ในการตรวจวินิจฉัยการกลายพันธุ์ของยีนสำหรับโรคมะเร็งเต้านม และมะเร็งรังไข่ดังนี้
{tabulizer:style[gr.alterora.elemental_1_blue.css]}
แนวทางในการตรวจวินิจฉัยการกลายพันธุ์ของยีนสำหรับโรคมะเร็งเต้านม และมะเร็งรังไข่ แหล่งอ้างอิง:ปรับข้อมูลจาก nccn.org[15] |
A. บุคคลที่เป็นมะเร็งเต้านม (invasive และ ductal carcinoma) โดยมีข้อต่อไปนี้อย่างใดอย่างหนึ่ง – มีประวัติการกลายพันธุ์ของยีนที่ทำให้เกิดมะเร็งในครอบครัว – มะเร็งเต้านมที่วินิจฉัยก่อนอายุ 50 ปี หรือขณะอายุ 50 ปี – มะเร็งเต้านมที่วินิจฉัยก่อนอายุ 60 ปี หรือขณะอายุ 60 ปี โดยผลชิ้นเนื้อเป็นลบต่อตัวรับฮอร์โมนทั้ง 3 ตัว(ER, PR, HER-2: neg) – มะเร็ง 2 ชนิดในบุคคลเดียว – มะเร็งเต้านมที่วินิจฉัยในทุกอายุ โดยมีข้อต่อไปนี้อย่างใดอย่างหนึ่ง – ญาติใกล้ชิดอย่างน้อย 1 คน เป็นมะเร็งเต้านมที่วินิจฉัยก่อนหรือขณะอายุ 50 ปี – ญาติใกล้ชิดอย่างน้อย 1 คน เป็นมะเร็งรังไข่, มะเร็งท่อนำไข่, มะเร็งเยื่อบุช่องท้อง – ญาติใกล้ชิดอย่างน้อย 2 คน เป็นมะเร็งเต้านม, มะเร็งตับอ่อน, มะเร็งต่อมลูกหมาก(Gleason score ≥7) – มาจากกลุ่มประชากรที่มีความเสี่ยงสูง เช่นมีบรรพบุรุษมีการกลายพันธุ์ของยีน เป็นต้น – มะเร็งเต้านมในเพศชาย * ญาติใกล้ชิด คือ ญาติลำดับที่ 1, 2 และ 3 ในสายเดียวกันของครอบครัว โดยแยกกันพิจารณาทางฝั่งบิดา และมารดา ออกจากกัน |
B. บุคคลที่มีบรรพบุรุษเป็น ชาวยิวอัชเคนาซิ ที่เป็นมะเร็งเต้านม, มะเร็งรังไข่, มะเร็งตับอ่อน ที่วินิจฉัยในทุกอายุ |
C: บุคคล รวมถึงคนในครอบครัวรวมกันอย่างน้อย 3 คน เป็นอย่างใดอย่างหนึ่งดังนี้ – มะเร็งเต้านม, มะเร็งตับอ่อน, มะเร็งต่อมลูกหมาก(Gleason score ≥7), มะเร็งกระเพาะอาหารชนิด diffuse, มะเร็งลำไส้, มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก, มะเร็งต่อมไทรอยด์, มะเร็งไต, melanoma, sarcoma, มะเร็งต่อมหมวกไตชั้นนอก, เนื้องอกในสมอง, มะเร็งเม็ดเลือดขาว โดยเฉพาะเริ่มเป็นมะเร็งขณะอายุน้อย(และ รวมถึงการเป็นมะเร็งหลายชนิดในบุคคลเดียวกัน) – มีลักษณะทางผิวหนังที่เข้าได้กับ Cowden syndrome – มีศีรษะใหญ่ร่วมกับมี hamartomatous polyps ของ ลำไส้ |
D: บุคคลที่เป็นมะเร็งรังไข่ |
E: บุคคลที่ยังไม่เป็นมะเร็ง แต่มีดังนี้ – ญาติใกล้ชิดเป็นดังนี้อย่างใดอย่างหนึ่ง – มีการกลายพันธุ์ของยีนที่ทำให้เกิดมะเร็งในครอบครัว – มีมะเร็งเต้านม 2 ชนิดในบุคคลเดียว – ญาติ อย่างน้อย 2 คน เป็นมะเร็งเต้านมในฝั่งเดียวกันของครอบครัว โดยวินิจฉัยก่อนหรือขณะอายุ 50 ปี – มะเร็งรังไข่ – มะเร็งเต้านมในเพศชาย – ญาติลำดับที่ 1, 2 เป็นมะเร็งเต้านม โดยวินิจฉัยก่อนหรือขณะอายุ 45 ปี * ญาติใกล้ชิด คือ ญาติลำดับที่ 1, 2 และ 3 ในสายเดียวกันของครอบครัว โดยแยกกันพิจารณาทางฝั่งบิดา และมารดา ออกจากกัน |
แนวทางในการผ่าตัด RRBSO
การทำการผ่าตัด RRBSO แนะนำให้ทำในสตรีที่มีการกลายพันธุ์ของยีน BRCA1, BRCA2 และรวมถึงกลุ่ม lynch syndrome ซึ่งจัดเป็นกลุ่มโรคมะเร็งเต้านมและรังไข่ที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมชนิดความเสี่ยงสูง (high-risk HBOC) ส่วนในกลุ่มโรคอื่น ๆ และกลุ่มโรคมะเร็งเต้านมและรังไข่ที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมชนิดความเสี่ยงต่ำ-ปานกลาง รวมถึงกลุ่มที่ไม่ทราบการกลายพันธุ์ของยีนที่ชัดเจน ให้ทำการพิจารณาปัจจัยการเกิดโรคภายในครอบครัวร่วมด้วย
คำแนะนำในการผ่าตัด RRBSO ในผู้ที่มีการกลายพันธุ์ของยีน BRCA1 และ BRCA2 (กลุ่มโรคมะเร็งเต้านมและรังไข่ที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมชนิดความเสี่ยงสูง) มีข้อแนะนำดังนี้
- มีบุตรครบแล้ว หรือไม่ต้องการมีบุตรแล้วให้ทำ RRBSO ในช่วงอายุ 35-40 ปี หรือทำการผ่าตัด RRBSO ในช่วงอายุน้อยกว่า 35 ปี โดยอิงจากประวัติการเกิดโรคมะเร็งในครอบครัว
- กลุ่มที่มีการกลายพันธุ์ของยีน BRCA2 อาจยืดระยะเวลาที่จะผ่าตัด RRBSO ออกไปในช่วงอายุที่มากกว่านี้ได้ เนื่องจากมีโอกาสในการเกิดมะเร็งรังไข่ขณะอายุน้อย น้อยกว่ากลุ่มที่มีการกลายพันธุ์ของยีน BRCA1 แต่หากผ่าตัด RRBSO ในอายุที่มากขึ้นจะลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งเต้านมได้น้อยกว่า
- สำหรับผู้ป่วยในกลุ่ม lynch syndrome จะมีโอกาสเกิดมะเร็งรังไข่ตลอดชีวิตร้อยละ 3-20 และมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกตลอดชีวิตถึงร้อยละ 60 จึงแนะนำให้ทำการตัดมดลูกออกด้วยในกรณีที่ต้องทำ RRBSO
การศึกษา meta-analysis พบว่า RRBSO ลดโอกาสการเกิดมะเร็งรังไข่ได้ โดย Hazard ratio(HR) 0.21 (95%CI 0.12-0.39) [16] และยังมีอีกการศึกษาพบว่าสามารถลดการเกิดมะเร็งรังไข่อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติโดย risk ratio 0.19 (95%CI 0.13-0.27) [17] นอกจากจะลดการเกิดมะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ และมะเร็งท่อนำไข่ได้แล้ว การผ่าตัด RRBSO ยังลดการเกิดมะเร็งเยื่อบุช่องท้องได้อีกด้วย มีการศึกษาพบว่าในกลุ่มที่มีการกลายพันธุ์ของยีน BRCA1 จะสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งเยื่อบุช่องท้องที่มากกว่า และยังเกิดภายหลังการทำ RRBSO ได้ ซึ่งสันนิษฐานว่าเกิดได้จาก 1.) การมีเศษหลงเหลือของรังไข่และท่อนำไข่ในช่องท้อง 2.) มีการกระจายของมะเร็งจากรังไข่และท่อนำไข่ไปก่อนที่จะทำการผ่าตัด RRBSO 3.) เยื่อบุช่องท้องมีแหล่งกำเนิดจากหลายแหล่ง และในระยะ embryo มีแหล่งกำเนิดร่วมกับอวัยวะสืบพันธุ์
ทางเลือกอื่น ๆ หากไม่ต้องการทำ RRBSO
1.) การผ่าตัดนำท่อนำไข่ทั้ง 2 ข้างออก แล้วตามด้วยการผ่าตัดนำรังไข่ออกหลังเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน
เนื่องจากเชื่อว่ามะเร็งรังไข่เกิดจากความผิดปกติของท่อนำไข่ก่อน แล้วค่อยแพร่กระจายมาที่รังไข่ได้ดังนั้นการใช้วิธีนี้จะสามารถลดการเกิดมะเร็งรังไข่ได้ แต่ยังไม่มีการศึกษาที่ดีพอที่จะบอกว่าวิธีนี้มีประสิทธิภาพ
2.) การตรวจคัดกรองอย่างใกล้ชิด
ได้แก่การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงทางช่องคลอด(transvaginal ultrasonography) ร่วมกับเจาะเลือดเพื่อดูระดับ CA-125 ทุก 6 เดือน โดยเริ่มตั้งแต่อายุ 35 ปี หรือ 5-10 ปี ก่อนที่จะมีการวินิจฉัยโรคมะเร็งรังไข่ในครอบครัว รวมถึงการแนะนำให้ผู้ป่วยเข้าใจถึงอาการที่ต้องรีบมารับการตรวจคัดกรอง ได้แก่อาการอืดท้อง ท้องโตขึ้น ปัสสาวะบ่อย กินลำบาก อิ่มเร็ว ปวดท้อง ปวดท้องน้อย เพื่อที่ผู้ป่วยจะได้มารับการตรวจเร็วขึ้น แต่พบว่าแม้จะทำการคัดกรองอย่างใกล้ชิด แต่ก็มักจะวินิจฉัยโรคมะเร็งรังไข่ได้ในระยะท้าย ๆ ดังนั้นการผ่าตัด RRBSO จึงมีความสำคัญและเหมาะสมในกรณีที่ไม่ต้องการมีบุตรแล้ว
3.) การรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด
การทานยาเม็ดคุมกำเนิดในผู้ที่มีการกลายพันธุ์ของยีน BRCA1 และ BRCA2 สามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งรังไข่ได้ โดยมีการศึกษาในผู้ที่มีการกลายพันธุ์ของยีน BRCA 1,503 รายที่เป็นมะเร็งรังไข่ พบว่าหากมีประวัติเคยใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดจะมี relative risk 0.50 (95% CI 0.33-0.75) นั่นหมายถึงมีโอกาสเป็นมะเร็งรังไข่น้อยกว่า [18] และหากใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดในระยะเวลาที่ยาวนานกว่า ก็มีโอกาสที่ความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งรังไข่ลดลงมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการศึกษา meta-analysis พบว่าสามารถลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งรังไข่ได้ถึงร้อยละ 5 ต่อปี ในรายที่ได้รับยาเม็ดคุมกำเนิด [19] นอกจากนี้ยังพบว่าสามารถลดมะเร็งท่อนำไข่ได้ด้วย แต่ยังมีข้อถกเถียงสำหรับมะเร็งเต้านมว่าอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมได้ แต่ยังไม่มีการศึกษาที่ชัดเจนว่ามีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในรายที่ใช้ รวมถึงในการติดตามผู้ป่วยระยะเวลา 10 ปีหลังหยุดการใช้ยา ดังนั้นปัจจุบันจึงแนะนำให้ใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดในรายที่ยังไม่ต้องการ RRBSO และยังต้องการมีบุตรอยู่
การเตรียมตัวก่อนผ่าตัด RRBSO
จากคำแนะนำที่แนะนำให้ผ่าตัด RRBSO ในกรณีที่ไม่ต้องการมีบุตรแล้ว หรือมีบุตรครบแล้วภายในช่วงอายุ 35-40 ปี เนื่องจากประสิทธิภาพในการลดการเกิดมะเร็งจะลดลงตามอายุที่มากขึ้น และการต้องการลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านม ควรทำการผ่าตัดก่อนอายุ 40 ปี หรือก่อนหมดประจำเดือน
จากการศึกษาพบว่าสตรีที่มีการกลายพันธุ์ของยีน BRCA1 มีโอกาสที่จะเกิดมะเร็งรังไข่โดยเริ่มต้นที่อายุ 35 ปี และมีผู้ป่วยมะเร็งรังไขร้อยละ 2-3 ที่เป็นมะเร็งรังไข่ก่อนอายุ 40 ปี ส่วนอายุเฉลี่ยที่จะวินิจฉัยมะเร็งรังไข่อยู่ที่ 50 ปี [20-26] ส่วนในสตรีที่มีการกลายพันธุ์ของยีน BRCA2 จะมีผู้ป่วยร้อยละ 2-3 ที่เป็นมะเร็งรังไข่ก่อนอายุ 50 ปี และอายุเฉลี่ยที่จะวินิจฉัยมะเร็งรังไข่อยู่ที่ 60 ปี ซึ่งจากการศึกษาต่าง ๆ เหล่านี้พบว่าสำหรับผู้ที่มีการกลายพันธุ์ของยีน BRCA2 อาจยืดระยะเวลาในการผ่าตัดได้ แต่จะไม่ได้รับประโยชน์ในการป้องกันมะเร็งเต้านม
สตรีที่จะผ่าตัด RRBSO ควรได้รับการประเมินทางพันธุศาสตร์เพื่อหาการกลายพันธุ์ของยีน BRCA1, BRCA2 และ Lynch syndrome ที่ชัดเจน ซึ่งจะทำให้จัดอยู่ในกลุ่ม high-risk HBOC จึงจะเหมาะสมที่จะทำ RRBSO ส่วนในกลุ่ม low to moderate-risk HBOC ยังไม่แนะนำให้ทำ RRBSO ในทุกราย
ก่อนรับการผ่าตัด RRBSO สตรีสามารถเลือกที่จะทำการแช่แข็งไข่หรือตัวอ่อนได้ เพื่อใช้ร่วมกับการใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ ในกรณีที่ยังต้องการมีบุตรในอนาคต
การทำ RRBSO ในทุกรายเป็นการผ่าตัดเพื่อป้องกันมะเร็งรังไข่ แต่มีบางรายที่ทำ RRBSO แล้วกลับพบโรคมะเร็งรังไข่ที่เป็นอยู่แล้ว แต่ผู้ป่วยไม่มีอาการ โดยสามารถพบโรคมะเร็งรังไข่ที่แฝงอยู่ได้ร้อยละ 4-8 ซึ่งพบมะเร็งรังไข่ได้ขณะกำลังผ่าตัด RRBSO หรือจากผลชิ้นเนื้อทางพยาธิวิทยา [27-33] ความเสี่ยงที่จะพบมะเร็งรังไข่จะเพิ่มขึ้นตามอายุ ดังนั้นก่อนที่จะได้รับการผ่าตัด RRBSO ควรทำการประเมินก่อนผ่าตัด เพื่อช่วยในการวินิจฉัยโรคมะเร็งที่แฝงอยู่ได้ ดังนี้
- ตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง เพื่อประเมินในอุ้งเชิงกราน (transvaginal ultrasonography)
- เจาะเลือดดูระดับ CA-125
หากขณะผ่าตัด RRBSO พบว่าเป็นมะเร็งรังไข่ขณะผ่าตัด ก็ควรทำการผ่าตัด complete surgical staging ซึ่งผู้ป่วยควรได้รับคำแนะนำสำหรับการผ่าตัดล่วงหน้า
การเตรียมตัวก่อนการผ่าตัดอื่น ๆ ควรทำเหมือนการผ่าตัดทางนรีเวชทั่วไป
ขั้นตอนในการผ่าตัด RRBSO
ช่องทางในการผ่าตัด RRBSO สามารถทำได้ทั้งการผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง(laparotomy) และการผ่าตัดแบบส่องกล้อง(laparoscopy) ซึ่งการผ่าตัดส่องกล้องนั้นมีข้อดีมากกว่าคือระยะพักฟื้นสั้นกว่า อาการปวดจากแผลผ่าตัดน้อยกว่า รับการรักษาในโรงพยาบาลสั้นกว่า
มีการศึกษาที่พบมะเร็งรังไข่ที่แฝงอยู่ในผู้ป่วยที่มารับการทำ RRBSO โดยศึกษาในผู้ป่วยที่มีการกลายพันธุ์ของยีน BRCA 159 ราย พบมะเร็งขณะทำ RRBSO 7 ราย(3 รายพบมะเร็งที่รังไข่และท่อนำไข่, 3 รายพบมะเร็งที่ท่อนำไข่, 1 รายพบมะเร็งที่รังไข่) [29] จากการศึกษานี้พบว่ามะเร็งที่แฝงอยู่ตั้งต้นมาจากท่อนำไข่ด้วยจึงคาดการณ์ได้ว่ามะเร็งรังไข่เกิดขึ้นจากบริเวณท่อนำไข่ แล้วลามมาที่รังไข่ได้ ขั้นตอนในการผ่าตัดจึงต้องผ่าตัดนำรังไข่และท่อนำไข่ออกให้หมด ซึ่งมีขึ้นตอนในการผ่าตัดดังนี้
- สำรวจภายในช่องท้องทั้งหมดเพื่อดูการแพร่กระจายของมะเร็งรังไข่ ได้แก่บริเวณ ใต้กระบังลม, ตับ, omentum, ลำไส้, paracolic gutter, และ ไส้ติ่ง และสำรวจบริเวณอุ้งเชิงกราน ได้แก่ รังไข่, ท่อนำไข่, มดลูก, cul-de-sac, และสำรวจดูเยื่อบุช่องท้องทั้งหมด หากสงสัยมะเร็งควรทำการตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ (biopsy) หรือใช้ frozen section และในบางรายอาจทำ omental biopsy และ cytological smear ที่ diaphragm ร่วมด้วย
- ทำการล้างช่องท้องแล้วดูดน้ำออกไปตรวจ (peritoneal lavage) เนื่องจากอาจมีการกระจายของมะเร็งหรือมีมะเร็งแฝงอยู่ ซึ่งพบโดยการทำ lavage ได้
- ตัดรังไข่ทั้งหมดออก รวมถึงตัดพังผืดโดยรอบรังไข่ที่ติดอยู่กับเยื่อบุช่องท้องทั้งหมดออก เพื่อไม่ให้มีเศษรังไข่หลงเหลืออยู่ การตัดเส้นเลือด ovarian artery และ vein ควรตัดอย่างน้อย 2 เซนติเมตรห่างจากรังไข่ หรือให้อยู่ที่ขอบของกระดูกเชิงกราน (pelvic brim) เพื่อไม่ให้มีเศษรังไข่หลงเหลือ และควรเปิด retroperitoneum ดู ureter และแยก infundibulum ออกก่อนที่จะตัดเส้นเลือด
- ควรตัดท่อนำไข่ออกทั้งหมดให้ได้มากที่สุด แต่ยังไม่ต้องถึงขั้นทำ cornual resection อาจเหลือส่วนของ interstitial part บ้างภายหลังการตัดท่อนำไข่ ยังไม่พบรายงานว่าเกิดมะเร็งซ้ำในบริเวณที่เหลือไว้ของท่อนำไข่ส่วน interstitial part [31] มีการศึกษาพบว่าส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 92 ของมะเร็งจะอยู่ที่ส่วน ampulla และ isthmus และร้อยละ 8 ของมะเร็งจะอยู่ที่ infundibulum และ fimbriae และไม่พบว่ามีมะเร็งในส่วน interstitial part [34] และมีอีกการศึกษาที่บอกว่าพบการกลายเป็นมะเร็งส่วนใหญ่ที่ fimbriae มากกว่าบริเวณอื่น [35] ดังนั้นการตัดท่อนำไข่ออกจึงต้องสำรวจให้ดีว่าไม่มีบางส่วนของท่อนำไข่หลงเหลืออยู่ และตัดท่อนำไข่ออกให้มากที่สุด
- ทำการสำรวจและคลำต่อมน้ำเหลืองภายใน retroperitoneum ในกรณีที่สงสัยมะเร็งในขณะผ่าตัดร่วมด้วย
สำหรับการพิจารณาตัดมดลูกร่วมด้วยนั้น สามารถทำได้ในรายที่มีข้อบ่งชี้ในการตัดมดลูก ไม่ควรทำการตัดมดลูกในทุกราย เนื่องจากสามารถเพิ่มโอกาสการเกิดอันตราย หรือบาดเจ็บต่ออวัยวะอื่น ๆ มากขึ้นจากการผ่าตัดได้ การตัดมดลูกร่วมด้วยมีประโยชน์ในผู้ป่วยดังนี้
- สตรีที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น Lynch syndrome เนื่องจากมีโอกาสเกิดมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกได้สูง
- สตรีที่ต้องใช้ยา tamoxifen เพื่อป้องกันมะเร็งเต้านม เนื่องจากการใช้ยา tamoxifen เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกได้
- สตรีที่ต้องการใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจนตัวเดียวภายหลังผ่าตัด เนื่องจากหลังผ่าตัดไปแล้วจะเข้าสู่การหมดประจำเดือนทันที จึงมีการใช้ฮอร์โมนเพื่อลดอาการของการหมดประจำเดือน จึงมักให้ฮอร์โมนร่วมกัน หรือเอสโตรเจนร่วมกับโปรเจสเตอโรน ในการลดการสร้างเยื่อบุโพรงมดลูกที่ผิดปกติ แต่การให้เอสโตรเจนตัวเดียวทำให้เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านมน้อยกว่า ซึ่งจะต้องพิจารณาร่วมกับผู้ป่วยอีกที
- มีข้อบ่งชี้อื่น ๆ ในการผ่าตัดนำมดลูกออก ได้แก่ เนื้องอกกล้ามเนื้อมดลูกขนาดใหญ่, adenomyosis, และพยาธิสภาพผิดปกติอื่น ๆ ที่ปากมดลูก
นอกจากนี้ยังมีข้อมูลในเรื่องของมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกชนิด serous (serous endometrial carcinoma) ที่อาจพบว่า ผู้ที่มีการกลายพันธุ์ของยีน BRCA อาจเพิ่มความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกชนิดนี้ได้ แต่ความเสี่ยงที่อาจเป็นมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกชนิดนี้ค่อนข้างน้อยและยังไม่มีการศึกษาที่ชัดเจน จึงยังไม่แนะนำให้ทำการตัดมดลูกในทุกรายที่มารับการผ่าตัด RRBSO
การตัดชิ้นเนื้อเพื่อดูลักษณะทางพยาธิสภาพจะต้องทำอย่างละเอียดในรูปแบบ SEE-FIM protocol (Sectioning and Extensively Examining the FIMbria) เพื่อดูว่ามีมะเร็งแฝงอยู่หรือไม่ เพื่อใช้ในการประกอบการรักษาต่อไป ในรายที่พบว่ามีมะเร็งแฝงอยู่ควรได้รับการผ่าตัดอย่างเหมาะสมเพิ่มเติม และได้รับยาเคมีบำบัดเพื่อรักษามะเร็งต่อไป
ผู้ที่รับการผ่าตัด RRBSO นั้น แนะนำให้ทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านมะเร็งนรีเวช แต่หาก นรีแพทย์ทั่วไปจะทำการผ่าตัด RRBSO แก่ผู้ป่วย ควรมีรูปแบบในการผ่าตัดที่ชัดเจน และเขียนถึงการสำรวจช่องท้องต่าง ๆ ร่วมด้วยในรายงานการผ่าตัด รวมถึงมีระบบการปรึกษาแพทย์ที่ชำนาญกว่าอย่างเหมาะสม [36]
การติดตามผู้ป่วยภายหลังการผ่าตัด RRBSO
เนื่องจากผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัด RRBSO ยังมีโอกาสที่จะเกิดมะเร็งของเยื่อบุช่องท้องได้ประมาณร้อยละ 1.7 [30] และยังไม่ได้มีการศึกษาที่ดีพอในการติดตามผู้ป่วย จึงแนะนำให้มีการตรวจติดตาม โดยการตรวจภายในร่วมกับการเจาะค่า CA-125 ทุก 1 ปี เพื่อคัดกรองการเกิดมะเร็งเยื่อบุช่องท้อง
การหมดประจำเดือนจากการผ่าตัด RRBSO และการใช้ฮอร์โมนทดแทน
หลังจากได้รับการผ่าตัด RRBSO ผู้ป่วยจะประสบปัญหาการขาดฮอร์โมนอย่างรวดเร็วเนื่องจากระดับฮอร์โมนโดยเฉพาะเอสโตรเจนจะลดลงอย่างรวดเร็ว เมื่อเทียบกับการหมดประจำเดือนตามธรรมชาติ ส่งผลให้มีอาการของการหมดประจำเดือน หรืออาการวัยทองได้ นอกจากอาการวัยทองแล้วยังมีเรื่องของความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุน โรคหลอดเลือดหัวใจ และความสามารถในการจำและรู้ตัวที่แย่ลง ร่วมด้วย การใช้ฮอร์โมนทดแทนที่เหมาะสมจะช่วยลดอาการต่าง ๆ ของภาวะวัยทอง และลดความเสี่ยงต่าง ๆ ได้ แต่ปัจจุบันยังแนะนำให้ผู้ป่วยลองใช้ทางเลือกในการรักษาโดยไม่ใช้ฮอร์โมนก่อน ร่วมกับปรับการใช้ชีวิตประจำวัน และให้ยาเสริมเพื่อป้องกันกระดูกพรุน หากยังมีอาการที่รุนแรงอาจใช้ฮอร์โมนเฉพาะที่ เนื่องจากจะมีผลต่อความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเต้านมน้อยกว่า หากยังมีอาการที่รุนแรงมากอาจต้องรักษาด้วยฮอร์โมนทดแทนแบบออกฤทธิ์ทั่วร่างกาย (systemic hormonal therapy)
อาการของภาวะวัยทองได้แก่ร้อนวูบวาบ นอนไม่หลับ อารมณ์แปรปรวน ช่องคลอดแห้ง ส่งผลให้มีอาการเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ ความต้องการทางเพศที่ลดลง ซึ่งการใช้ฮอร์โมนทดแทนแบบออกฤทธิ์ทั่วร่างกาย สามารถช่วยลดอาการของภาวะวัยทองได้ดี ปัจจุบันมีการศึกษาถึงความปลอดภัยของการใช้ฮอร์โมนทดแทนแบบออกฤทธิ์ทั่วร่างกายที่ค่อนข้างจำกัด พบว่าไม่ได้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งรังไข่ และมะเร็งเยื่อบุช่องท้องซ้ำภายหลังการผ่าตัด RRBSO การศึกษาถึงความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านมหลังจากใช้ฮอร์โมนทดแทนแบบออกฤทธิ์ทั่วร่างกายหลังการผ่าตัด RRBSO ยังค่อนข้างน้อย และยังไม่มีข้อมูลที่มีคุณภาพพอ และยังติดตามผู้ป่วยได้ในระยะเวลาที่สั้น พบว่าการใช้ฮอร์โมนทดแทนแบบออกฤทธิ์ทั่วร่างกายไม่ได้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านมอย่างมีนัยสำคัญ
ปัจจุบันจึงมีการใช้ฮอร์โมนทดแทนแบบออกฤทธิ์ทั่วร่างกาย เพื่อลดอาการของภาวะวัยทองและป้องกันข้อเสียที่ตามมาโดยอาจให้ในระยะเวลา 1-2 ปี แล้วลดขนาดลงจนหยุดการใช้ หรือให้จนถึงอายุประมาณ 51 ปี [37, 38] ซึ่งจะพอ ๆ กับการเข้าสู่วัยทองตามธรรมชาติ เพื่อลดอาการวัยทอง ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุน โรคหลอดเลือดหัวใจ และความสามารถในการจำและรู้ตัวที่แย่ลง ซึ่งเกิดจากการขาดฮอร์โมนเอสโตรเจน และเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยด้วย โดยหากผู้ป่วยไม่ได้รับการผ่าตัดเต้านมออกเพื่อป้องกันมะเร็งเต้านม (risk-reducing mastectomy) ก็ควรรับการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมอย่างสม่ำเสมอ อย่างไรก็ตามเนื่องจากการศึกษาที่ผ่านมายังไม่ได้มีคุณภาพเพียงพอ ดังนั้นการใช้ฮอร์โมนทดแทนแบบออกฤทธิ์ทั่วร่างกายหลังจากที่ผู้ป่วยได้รับการผ่าตัด RRBSO จึงควรแนะนำผู้ป่วยถึงข้อดี ได้แก่การลดอาการวัยทอง ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุน โรคหลอดเลือดหัวใจ และความสามารถในการจำและรู้ตัวที่แย่ลง รวมถึงการเพิ่มคุณภาพชีวิต และข้อเสีย ได้แก่ความเสี่ยงของโรคมะเร็งเต้านมที่อาจเกิดขึ้นตามมาได้ การตัดสินใจในการใช้ฮอร์โมนในการรักษาขึ้นอยู่กับผู้ป่วย รวมถึงผลกระทบที่อาจตามมาสำหรับผู้ป่วยเอง[39]
สรุป
- สตรีที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดกลุ่มโรคมะเร็งเต้านมและรังไข่ที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม ควรได้รับการตรวจการกลายพันธุ์ของยีนที่ผิดปกติ เช่น ยีน BRCA1 และ BRCA2 เป็นต้น
- ในผู้ที่มีการกลายพันธุ์ของยีน BRCA1, BRCA 2 และ Lynch syndrome ควรได้รับการผ่าตัดนำรังไข่ และท่อนำไข่ ออกเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งรังไข่ (RRBSO) เมื่อมีบุตรครบแล้ว หรือไม่ต้องการมีบุตรอีก ในช่วงอายุ 35-40 ปี หรือก่อนอายุที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคมะเร็งรังไข่ การผ่าตัด RRBSO หากทำการผ่าตัดก่อนอายุ 40 ปี หรือก่อนหมดประจำเดือนจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมได้
- ในรายที่ยังไม่ต้องการทำผ่าตัด RRBSO ควรตรวจคัดกรองอย่างใกล้ชิดตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงทางช่องคลอด ร่วมกับเจาะเลือดเพื่อดูระดับ CA-125 ทุก 6 เดือน และรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด ในกรณีที่ยังอยู่ในช่วงที่ไม่ต้องการมีบุตร
- ควรประเมินผู้ป่วยก่อนผ่าตัด RRBSO ด้วยการตรวจคลื่นเสียงความถี่สูง และการเจาะเลือด CA-125 ก่อนการผ่าตัด
- หลังผ่าตัด RRBSO หากผลชิ้นเนื้อพบว่ามีมะเร็งเกิดขึ้นแล้วโดยผู้ป่วยยังไม่มีอาการ ผู้ป่วยควรได้รับการรักษาโดยการผ่าตัด complete surgical staging และรักษาต่อไปอย่างต่อเนื่องตามระยะของมะเร็ง
- หลังผ่าตัด RRBSO ควรตรวจติดตามทุก 1 ปี ด้วยการตรวจภายในและเจาะเลือด CA-125
- การตัดมดลูกร่วมกับการผ่าตัด RRBSO ควรทำเมื่อมีข้อบ่งชี้ที่ชัดเจน เช่น Lynch syndrome, ต้องใช้ยา tamoxifen หรือต้องการใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจนตัวเดียว เป็นต้น
- หลังผ่าตัด RRBSO แนะนำให้รักษาภาวะวัยทองโดยไม่ใช้ฮอร์โมน ร่วมกับปรับการใช้ชีวิตประจำวัน และให้ยาเสริมเพื่อป้องกันกระดูกพรุน หากยังมีอาการที่รุนแรงอาจใช้ฮอร์โมนเฉพาะที่ก่อน
- การใช้ฮอร์โมนทดแทนแบบทั่วร่างกาย (systemic hormonal therapy) ยังไม่มีการศึกษาที่ดีพอถึงความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งเต้านม แต่เชื่อว่าสามารถเพิ่มคุณภาพชีวิต และลดอาการวัยทองได้ รวมถึง ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุน โรคหลอดเลือดหัวใจ และความสามารถในการจำและรู้ตัวที่แย่ลง จึงควรให้คำแนะนำผู้ป่วยถึงข้อดี และข้อเสีย และใช้อย่างระมัดระวัง
เอกสารอ้างอิง
- Imsamran W, Chaiwerawattana A, Wiangnon S, Pongnikorn D, Suwanrungrung K, Sangrajrang S, et al. Cancer in Thailand Vol.VIII 2010-2012(Ministry of public health). Bangkok: New Thammada Press; 2015.
- Ferlay J, Soerjomataram I, Ervik M, Dikshit R, Eser S, Mathers C, Rebelo M, Parkin DM, Forman D, Bray, F. GLOBOCAN 2012 v1.0, Cancer Incidence and Mortality Worldwide: IARC CancerBase No. 11 [Internet]. Lyon, France: International Agency for Research on Cancer; 2013. Available from: http://globocan.iarc.fr, accessed on 13/02/2018.
- Berek JS, Longacre TA, Friedlander M. Ovarian, Fallopian tube, and Peritoneal Cancer In: Berek and Novak’s Gynecology.15 ed. Philadelphia: Lippincott Williams and Wilkins; 2012. p. 1350-1427
- ธีระ ทองสง. นรีเวชวิทยา (ฉบับสอบบอร์ด). 4rd ed. มะเร็งรังไข่-Ovarian carcinoma. 2559, กรุงเทพฯ: พี.บี.ฟอเรน บุ๊ค เซนเตอร์.p. 439-468
- ธีระ ทองสง. นรีเวชวิทยา (ฉบับสอบบอร์ด). 4rd ed. มะเร็งท่อนำไข่-Cancer of fallopian tube. 2559, กรุงเทพฯ: พี.บี.ฟอเรน บุ๊ค เซนเตอร์.p. 469-472
- Kuchenbaecker KB, Hopper JL, Barnes DR, et al. Risks of Breast, Ovarian, and Contralateral Breast Cancer for BRCA1 and BRCA2 Mutation Carriers. JAMA 2017; 317:2402.
- Muto MG, Goff B, Falk SJ. Risk-reducing bilateral salpingo-oophorectomy in women at high risk of epithelial ovarian and fallopian tubal cancer [internet]. Uptodate.com[updated 2017 Jul 07; cited 2018 Feb 12].Available from: http://www.uptodate.com
- Reed SD, Sharp HT, Falk SJ. Elective oophorectomy or ovarian conservation at the time of hysterectomy [internet]. Uptodate.com[updated 2016 Sep 26; cited 2018 Feb 12].Available from: http://www.uptodate.com
- Peshkin BN, Isaacs C, Chagpar AB, Vora SR. Genetic counseling and testing for hereditary breast and ovarian cancer [internet]. Uptodate.com[updated 2017 Sep 18; cited 2018 Feb 12].Available from: http://www.uptodate.com
- Peshkin BN, Issacs C, Chagpar AB, Vora SR. Prevalence of BRCA1 and BRCA2 mutations and associated cancer risks [internet]. Uptodate.com[updated 2018 Feb 07; cited 2018 Feb 12].Available from: http://www.uptodate.com
- Peshkin BN, Isaacs C, Chagpar AB, Vora SR. Overview of hereditary breast and ovarian cancer syndromes [internet]. Uptodate.com[updated 2017 Sep 18; cited 2018 Feb 12].Available from: http://www.uptodate.com
- Isaacs C, Peshkin BN, Chagpar AB, Vora SR. Management of patients at high risk for breast and ovarian cancer [internet]. Uptodate.com[updated 2016 Oct 11; cited 2018 Feb 12].Available from: http://www.uptodate.com
- Rebbeck TR, Lynch HT, Neuhausen SL, et al. Prophylactic oophorectomy in carriers of BRCA1 or BRCA2 mutations. N Engl J Med 2002; 346:1616.
- Kauff ND, Satagopan JM, Robson ME, et al. Risk-reducing salpingo-oophorectomy in women with a BRCA1 or BRCA2 mutation. N Engl J Med 2002; 346:1609.
- 5. National Comprehensive Cancer Network (NCCN). NCCN Clinical practice guidelines in oncology. http://www.nccn.org/professionals/physician_gls/f_guidelines.asp (Accessed on February 15, 2018).
- Rebbeck TR, Kauff ND, Domchek SM. Meta-analysis of risk reduction estimates associated with risk-reducing salpingo-oophorectomy in BRCA1 or BRCA2 mutation carriers. J Natl Cancer Inst 2009; 101:80.
- Marchetti C, De Felice F, Palaia I, et al. Risk-reducing salpingo-oophorectomy: a meta-analysis on impact on ovarian cancer risk and all cause mortality in BRCA 1 and BRCA 2 mutation carriers. BMC Womens Health 2014; 14:150.
- Iodice S, Barile M, Rotmensz N, et al. Oral contraceptive use and breast or ovarian cancer risk in BRCA1/2 carriers: a meta-analysis. Eur J Cancer 2010; 46:2275.
- McLaughlin JR, Risch HA, Lubinski J, et al. Reproductive risk factors for ovarian cancer in carriers of BRCA1 or BRCA2 mutations: a case-control study. Lancet Oncol 2007; 8:26.
- Boyd J, Sonoda Y, Federici MG, et al. Clinicopathologic features of BRCA-linked and sporadic ovarian cancer. JAMA 2000; 283:2260.
- King MC, Marks JH, Mandell JB, New York Breast Cancer Study Group. Breast and ovarian cancer risks due to inherited mutations in BRCA1 and BRCA2. Science 2003; 302:643.
- Satagopan JM, Boyd J, Kauff ND, et al. Ovarian cancer risk in Ashkenazi Jewish carriers of BRCA1 and BRCA2 mutations. Clin Cancer Res 2002; 8:3776.
- Levy-Lahad E, Catane R, Eisenberg S, et al. Founder BRCA1 and BRCA2 mutations in Ashkenazi Jews in Israel: frequency and differential penetrance in ovarian cancer and in breast-ovarian cancer families. Am J Hum Genet 1997; 60:1059.
- Antoniou A, Pharoah PD, Narod S, et al. Average risks of breast and ovarian cancer associated with BRCA1 or BRCA2 mutations detected in case Series unselected for family history: a combined analysis of 22 studies. Am J Hum Genet 2003; 72:1117.
- Ford D, Easton DF, Stratton M, et al. Genetic heterogeneity and penetrance analysis of the BRCA1 and BRCA2 genes in breast cancer families. The Breast Cancer Linkage Consortium. Am J Hum Genet 1998; 62:676.
- Pennington KP, Swisher EM. Hereditary ovarian cancer: beyond the usual suspects. Gynecol Oncol 2012; 124:347.
- Dowdy SC, Stefanek M, Hartmann LC. Surgical risk reduction: prophylactic salpingo-oophorectomy and prophylactic mastectomy. Am J Obstet Gynecol 2004; 191:1113.
- Powell CB, Kenley E, Chen LM, et al. Risk-reducing salpingo-oophorectomy in BRCA mutation carriers: role of serial sectioning in the detection of occult malignancy. J Clin Oncol 2005; 23:127.
- Finch A, Shaw P, Rosen B, et al. Clinical and pathologic findings of prophylactic salpingo-oophorectomies in 159 BRCA1 and BRCA2 carriers. Gynecol Oncol 2006; 100:58.
- Powell CB. Occult ovarian cancer at the time of risk-reducing salpingo-oophorectomy. Gynecol Oncol 2006; 100:1.
- Kauff ND, Barakat RR. Surgical risk-reduction in carriers of BRCA mutations: where do we go from here? Gynecol Oncol 2004; 93:277.
- Lamb JD, Garcia RL, Goff BA, et al. Predictors of occult neoplasia in women undergoing risk-reducing salpingo-oophorectomy. Am J Obstet Gynecol 2006; 194:1702.
- Manchanda R, Abdelraheim A, Johnson M, et al. Outcome of risk-reducing salpingo-oophorectomy in BRCA carriers and women of unknown mutation status. BJOG 2011; 118:814.
- Alvarado-Cabrero I, Young RH, Vamvakas EC, Scully RE. Carcinoma of the fallopian tube: a clinicopathological study of 105 cases with observations on staging and prognostic factors. Gynecol Oncol 1999; 72:367.
- Callahan MJ, Crum CP, Medeiros F, et al. Primary fallopian tube malignancies in BRCA-positive women undergoing surgery for ovarian cancer risk reduction. J Clin Oncol 2007; 25:3985.
- Malacarne DR, Boyd LR, Long Y, Blank SV. Best practices in risk reducing bilateral salpingo-oophorectomy: the influence of surgical specialty. World Journal of Surgical Oncology. 2017;15:218. doi:10.1186/s12957-017-1282-5.
- Domchek S, Kaunitz AM. Use of systemic hormone therapy in BRCA mutation carriers. Menopause 2016;23:1026–1027.
- Guidozzi F. Hormone therapy after prophylactic risk-reducing bilateral salpingo-oophorectomy in women who have BRCA gene mutation. Climacteric. 2016;1–4.
- Siyam T, Ross S, Campbell S, Eurich DT, Yuksel N. The effect of hormone therapy on quality of life and breast cancer risk after risk-reducing salpingo-oophorectomy: a systematic review. BMC Women’s Health. 2017;17:22. doi:10.1186/s12905-017-0370-6.